Butterfly Strategy
- กลยุทธ์ผีเสื้อ (Butterfly Strategy) ในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น
บทนำ
กลยุทธ์ผีเสื้อ (Butterfly Strategy) เป็นกลยุทธ์การซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำกำไรจากสถานการณ์ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่จำกัดในช่วงเวลาที่กำหนด กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรุนแรง และจะยังคงอยู่ในช่วงแคบๆ ที่กำหนดไว้ กลยุทธ์ผีเสื้อเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีผลตอบแทนที่จำกัดเช่นกัน บทความนี้จะอธิบายกลไกการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, การนำไปใช้งาน, และตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ผีเสื้อในไบนารี่ออปชั่นอย่างละเอียด
หลักการพื้นฐานของกลยุทธ์ผีเสื้อ
กลยุทธ์ผีเสื้อประกอบด้วยการซื้อและขาย ออปชั่น ที่มีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่แตกต่างกันสามระดับ โดยมีราคาใช้สิทธิระดับกลางเป็นจุดศูนย์กลางของกลยุทธ์ ชื่อ “ผีเสื้อ” มาจากลักษณะของกราฟผลตอบแทนที่คล้ายกับปีกผีเสื้อ
โดยทั่วไป กลยุทธ์ผีเสื้อจะประกอบด้วย:
- ซื้อออปชั่น Call หนึ่งสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ต่ำ
- ขายออปชั่น Call สองสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) กลาง
- ซื้อออปชั่น Call หนึ่งสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) สูง
หรือ
- ซื้อออปชั่น Put หนึ่งสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ต่ำ
- ขายออปชั่น Put สองสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) กลาง
- ซื้อออปชั่น Put หนึ่งสัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) สูง
ราคาใช้สิทธิทั้งสามระดับจะต้องมีระยะห่างเท่ากัน เช่น 100, 105, 110 หรือ 50, 52.5, 55
กลไกการทำงานของกลยุทธ์ผีเสื้อ
กำไรสูงสุดของกลยุทธ์ผีเสื้อจะเกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ที่ราคาใช้สิทธิระดับกลางในวันหมดอายุ (Expiration Date) ในสถานการณ์นี้ ออปชั่น Call หรือ Put ที่ขายออกจะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า และออปชั่น Call หรือ Put ที่ซื้อเข้ามาจะมีกำไรเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาใช้สิทธิกับราคาตลาด
หากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงเคลื่อนไหวไปเกินราคาใช้สิทธิระดับกลาง กลยุทธ์จะเริ่มขาดทุน แต่การขาดทุนจะถูกจำกัดไว้ด้วยต้นทุนของออปชั่นที่ซื้อเข้ามา
ประเภทของกลยุทธ์ผีเสื้อ
มีสองประเภทหลักของกลยุทธ์ผีเสื้อ:
- **Long Call Butterfly:** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ และต้องการทำกำไรจากความผันผวนที่ต่ำ ความผันผวน
- **Long Put Butterfly:** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ และต้องการทำกำไรจากความผันผวนที่ต่ำ ความเสี่ยง
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ผีเสื้อ
| **ข้อดี** | **ข้อเสีย** | ความเสี่ยงจำกัด | ผลตอบแทนจำกัด | เหมาะสำหรับตลาด Sideways | ต้องคาดการณ์ช่วงราคาที่ถูกต้อง | สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความคาดหวัง | มีค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายออปชั่นหลายสัญญา | สามารถใช้ได้ทั้งออปชั่น Call และ Put | ต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ |
การนำกลยุทธ์ผีเสื้อไปใช้งานในไบนารี่ออปชั่น
การนำกลยุทธ์ผีเสื้อไปใช้งานในไบนารี่ออปชั่นมีความซับซ้อนกว่าการใช้ในตลาดออปชั่นแบบดั้งเดิม เนื่องจากไบนารี่ออปชั่นมีลักษณะเป็น All-or-Nothing คือได้กำไรหรือขาดทุนเต็มจำนวนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราสามารถปรับใช้หลักการของกลยุทธ์ผีเสื้อเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้
1. **เลือกสินทรัพย์อ้างอิง:** เลือกสินทรัพย์อ้างอิงที่มีความผันผวนต่ำ และคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด 2. **กำหนดราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** เลือกราคาใช้สิทธิสามระดับที่เหมาะสม โดยมีราคาใช้สิทธิระดับกลางเป็นจุดที่คาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ใกล้เคียงที่สุด 3. **เลือกเวลาหมดอายุ (Expiration Time):** เลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสมกับช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ 4. **บริหารจัดการความเสี่ยง:** กำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ผีเสื้อในไบนารี่ออปชั่น
สมมติว่าคุณเชื่อว่าราคาของหุ้น XYZ จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ ระหว่าง 100 ถึง 105 ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า คุณสามารถใช้กลยุทธ์ผีเสื้อดังนี้:
- ซื้อออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 100 ด้วยเงินลงทุน 20 ดอลลาร์
- ขายออปชั่น Call สองสัญญาที่ราคาใช้สิทธิ 102.5 ด้วยเงินลงทุนรวม 30 ดอลลาร์
- ซื้อออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 105 ด้วยเงินลงทุน 20 ดอลลาร์
ต้นทุนรวมของกลยุทธ์นี้คือ 30 ดอลลาร์
- **สถานการณ์ที่ 1: ราคาหุ้น XYZ อยู่ที่ 102.5 ในวันหมดอายุ**
* ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 100 จะมีกำไร 2.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 102.5 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 105 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * กำไรสุทธิ = (2.5 ดอลลาร์ x 100 หุ้น) – 30 ดอลลาร์ = 220 ดอลลาร์
- **สถานการณ์ที่ 2: ราคาหุ้น XYZ อยู่ที่ 100 ในวันหมดอายุ**
* ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 100 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 102.5 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 105 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * ขาดทุนสุทธิ = 30 ดอลลาร์
- **สถานการณ์ที่ 3: ราคาหุ้น XYZ อยู่ที่ 105 ในวันหมดอายุ**
* ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 100 จะมีกำไร 5 ดอลลาร์ต่อหุ้น * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 102.5 จะมีกำไร 2.5 ดอลลาร์ต่อหุ้น * ออปชั่น Call ที่ราคาใช้สิทธิ 105 จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า * กำไรสุทธิ = (5 ดอลลาร์ x 100 หุ้น) – (2.5 ดอลลาร์ x 200 หุ้น) – 30 ดอลลาร์ = 120 ดอลลาร์
การปรับปรุงกลยุทธ์ผีเสื้อ
- **Iron Butterfly:** เป็นรูปแบบหนึ่งของกลยุทธ์ผีเสื้อที่ใช้ทั้งออปชั่น Call และ Put เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- **Broken Wing Butterfly:** เป็นรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนราคาใช้สิทธิให้ไม่เท่ากัน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
- **Double Butterfly:** เป็นการรวมกลยุทธ์ผีเสื้อสองชุดเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงและความซับซ้อนมากขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐาน
การใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และ การวิเคราะห์พื้นฐาน ร่วมกับกลยุทธ์ผีเสื้อสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถช่วยระบุแนวรับแนวต้าน และรูปแบบราคาที่บ่งบอกถึงช่วงราคาที่คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหว การวิเคราะห์พื้นฐานสามารถช่วยประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์อ้างอิง และคาดการณ์แนวโน้มในระยะยาว
การบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้กลยุทธ์ผีเสื้อ เนื่องจากถึงแม้ว่าความเสี่ยงจะถูกจำกัด แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) และการกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น
กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- Straddle Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
- Strangle Strategy: คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน
- Covered Call: กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อต้องการสร้างรายได้จากหุ้นที่ถืออยู่
- Protective Put: กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ลดลง
- Vertical Spread: กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
- Calendar Spread: กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าความผันผวนจะเปลี่ยนแปลง
- Ratio Spread: กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างรุนแรง
- Condor Strategy: กลยุทธ์ที่คล้ายกับ Butterfly แต่มีราคาใช้สิทธิมากกว่า
- Iron Condor Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้ทั้งออปชั่น Call และ Put ในรูปแบบ Condor
- Collar Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ลดลง
- Delta Hedging: เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่ใช้ในการปรับสมดุลของพอร์ต
- Gamma Scalping: เทคนิคการซื้อขายที่ใช้ประโยชน์จาก Gamma
- Theta Decay: การลดลงของมูลค่าออปชั่นตามเวลา
- Vega: การวัดความไวของมูลค่าออปชั่นต่อการเปลี่ยนแปลงของความผันผวน
- Implied Volatility: ความผันผวนที่ตลาดคาดการณ์
สรุป
กลยุทธ์ผีเสื้อเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากสถานการณ์ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่จำกัด อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้ต้องมีความเข้าใจในหลักการทำงาน การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การฝึกฝนและการทดลองใช้กลยุทธ์นี้ในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริงเป็นสิ่งสำคัญ
การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น มีความเสี่ยง โปรดลงทุนอย่างระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
การวิเคราะห์ความเสี่ยง การบริหารเงินทุน การเลือกโบรกเกอร์ไบนารี่ออปชั่น การทำความเข้าใจสัญญาไบนารี่ออปชั่น การวิเคราะห์กราฟราคา การใช้เครื่องมือทางเทคนิค
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
