Option Trading
Option Trading
การซื้อขายออปชั่น เป็นรูปแบบการซื้อขายทางการเงินที่อนุญาตให้ผู้ซื้อมีสิทธิ (แต่ไม่ใช่หน้าที่) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า "ราคาใช้สิทธิ" หรือ Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (วันหมดอายุ) Option Trading เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อน แต่สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สำคัญ รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ บทความนี้จะครอบคลุมพื้นฐานของการซื้อขายออปชั่นสำหรับผู้เริ่มต้น โดยจะอธิบายประเภทของออปชั่น กลไกการทำงาน กลยุทธ์พื้นฐาน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ประเภทของออปชั่น
มีออปชั่นหลักสองประเภท:
- **Call Option:** ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการ *ซื้อ* สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ ผู้ซื้อ Call Option คาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะ *เพิ่มขึ้น*
- **Put Option:** ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการ *ขาย* สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ ผู้ซื้อ Put Option คาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะ *ลดลง*
นอกจากนี้ ออปชั่นยังสามารถแบ่งตามลักษณะการส่งมอบได้อีกด้วย:
- **ออปชั่นแบบยุโรป (European Option):** สามารถใช้สิทธิได้เฉพาะในวันหมดอายุเท่านั้น
- **ออปชั่นแบบอเมริกัน (American Option):** สามารถใช้สิทธิได้ตลอดระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุ
กลไกการทำงานของออปชั่น
การซื้อขายออปชั่นเกี่ยวข้องกับสองฝ่าย:
- **ผู้ซื้อออปชั่น (Option Buyer):** จ่ายค่าพรีเมี่ยม (Premium) เพื่อซื้อสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง
- **ผู้ขายออปชั่น (Option Seller/Writer):** ได้รับค่าพรีเมี่ยมจากการขายสิทธิ และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของออปชั่น หากผู้ซื้อใช้สิทธิ
ค่าพรีเมี่ยมของออปชั่นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- **ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง:** ยิ่งราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิงใกล้เคียงกับราคาใช้สิทธิมากเท่าไหร่ ค่าพรีเมี่ยมก็จะยิ่งสูงขึ้น
- **ราคาใช้สิทธิ:** ราคาใช้สิทธิที่ต่ำกว่าสำหรับ Call Option และสูงกว่าสำหรับ Put Option จะส่งผลให้ค่าพรีเมี่ยมสูงขึ้น
- **ระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุ:** ยิ่งระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุยาวนานขึ้น ค่าพรีเมี่ยมก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้มากขึ้น
- **ความผันผวน (Volatility):** ยิ่งความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น ค่าพรีเมี่ยมก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างการซื้อขายออปชั่น
สมมติว่าคุณเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัท ABC ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 50 บาท จะเพิ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า คุณสามารถซื้อ Call Option ที่มีราคาใช้สิทธิ 52 บาท และวันหมดอายุในหนึ่งเดือน โดยเสียค่าพรีเมี่ยม 2 บาทต่อหุ้น
- **สถานการณ์ที่ 1: ราคาหุ้น ABC เพิ่มขึ้นเป็น 55 บาท** คุณสามารถใช้สิทธิ Call Option เพื่อซื้อหุ้น ABC ในราคา 52 บาท และขายในตลาดที่ราคา 55 บาท ทำให้ได้กำไร 3 บาทต่อหุ้น (55 - 52) หักค่าพรีเมี่ยม 2 บาท คงเหลือ 1 บาทต่อหุ้น
- **สถานการณ์ที่ 2: ราคาหุ้น ABC ลดลงเป็น 48 บาท** คุณจะไม่ใช้สิทธิ Call Option เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ คุณจะสูญเสียค่าพรีเมี่ยม 2 บาทต่อหุ้น
กลยุทธ์การซื้อขายออปชั่นพื้นฐาน
มีกลยุทธ์การซื้อขายออปชั่นมากมายที่สามารถใช้ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์พื้นฐานบางส่วน:
- **ซื้อ Call Option (Long Call):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น กลยุทธ์ Long Call
- **ซื้อ Put Option (Long Put):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะลดลง กลยุทธ์ Long Put
- **ขาย Call Option (Short Call/Covered Call):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก หรือราคาจะลดลง (เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง) กลยุทธ์ Short Call
- **ขาย Put Option (Short Put):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะไม่ลดลงมากนัก หรือราคาจะเพิ่มขึ้น (เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง) กลยุทธ์ Short Put
- **Straddle:** ซื้อทั้ง Call และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์ Straddle
- **Strangle:** ซื้อ Call Option และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน แต่มีวันหมดอายุเดียวกัน ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะมีความผันผวนสูงมาก กลยุทธ์ Strangle
- **Butterfly Spread:** กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบๆ กลยุทธ์ Butterfly Spread
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานในการซื้อขายออปชั่น
การตัดสินใจซื้อขายออปชั่นควรอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยในการประเมินแนวโน้มราคาและโอกาสในการทำกำไร
- **การวิเคราะห์ทางเทคนิค:** ศึกษาแผนภูมิราคาและใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), ดัชนีความสัมพันธ์สัมพัทธ์ (Relative Strength Index - RSI), และแถบ Bollinger (Bollinger Bands) เพื่อระบุแนวโน้มและสัญญาณการซื้อขาย การวิเคราะห์ทางเทคนิค
- **การวิเคราะห์พื้นฐาน:** ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์อ้างอิง เช่น งบการเงินของบริษัท ข่าวสารทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มอุตสาหกรรม เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์และโอกาสในการลงทุน การวิเคราะห์พื้นฐาน
- **การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยยืนยันแนวโน้มและระบุสัญญาณการกลับตัวของราคา การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
ความเสี่ยงในการซื้อขายออปชั่น
การซื้อขายออปชั่นมีความเสี่ยงสูง ผู้ซื้อออปชั่นอาจสูญเสียค่าพรีเมี่ยมทั้งหมด หากการคาดการณ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ผู้ขายออปชั่นอาจต้องรับผิดชอบในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่ไม่เอื้ออำนวย
ความเสี่ยงที่สำคัญในการซื้อขายออปชั่น ได้แก่:
- **Time Decay (Theta):** ค่าพรีเมี่ยมของออปชั่นจะลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ
- **Volatility Risk (Vega):** การเปลี่ยนแปลงของความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงสามารถส่งผลกระทบต่อค่าพรีเมี่ยมของออปชั่น
- **Interest Rate Risk (Rho):** การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อค่าพรีเมี่ยมของออปชั่น
- **Liquidity Risk:** ออปชั่นบางประเภทอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการซื้อขายในราคาที่ต้องการ
การบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายออปชั่น
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขายออปชั่น ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการบริหารความเสี่ยง:
- **กำหนดขนาดของการลงทุน:** อย่าลงทุนในออปชั่นเกินกว่าที่คุณสามารถรับความสูญเสียได้
- **ใช้ Stop-Loss Orders:** กำหนดระดับราคาที่คุณจะยอมรับความสูญเสีย เพื่อจำกัดความเสียหาย
- **กระจายความเสี่ยง:** อย่าลงทุนในออปชั่นเพียงประเภทเดียว หรือสินทรัพย์อ้างอิงเพียงชนิดเดียว
- **ศึกษาและทำความเข้าใจกลยุทธ์:** ก่อนที่จะใช้กลยุทธ์ใดๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เกี่ยวข้อง
- **ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ตลาด:** ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
- คำศัพท์ทางการเงิน
- การบริหารเงินทุน
- การวิเคราะห์ความเสี่ยง
- การซื้อขายระยะสั้น
- การซื้อขายระยะยาว
- การสร้างพอร์ตการลงทุน
- การใช้โปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติ
- การซื้อขายฟอเร็กซ์
- การลงทุนในหุ้น
- การลงทุนในกองทุนรวม
- การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง
- การวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
- การจัดการความเสี่ยงขั้นสูง
| ลักษณะ | หุ้น | ออปชั่น |
|---|---|---|
| การลงทุน | ซื้อขายความเป็นเจ้าของในบริษัท | ซื้อขายสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ |
| ความเสี่ยง | สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด | สูญเสียค่าพรีเมี่ยมทั้งหมด (สำหรับผู้ซื้อ) หรือมีความเสี่ยงไม่จำกัด (สำหรับผู้ขาย) |
| ผลตอบแทน | จำกัดที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น | ไม่จำกัด (สำหรับผู้ซื้อ Call Option) หรือจำกัดที่ค่าพรีเมี่ยม (สำหรับผู้ขาย Put Option) |
| ความซับซ้อน | ค่อนข้างง่าย | ซับซ้อนกว่า |
สรุป
Option Trading เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ผู้เริ่มต้นควรศึกษาทำความเข้าใจพื้นฐานของออปชั่น กลยุทธ์การซื้อขาย และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุน การฝึกฝนด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้และทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
