Derivatives Trading
Jump to navigation
Jump to search
- Derivatives Trading
- ตราสารอนุพันธ์** (Derivatives) คือสัญญาทางการเงินที่มีมูลค่ามาจากสินทรัพย์อื่น (Underlying Asset) เช่น หุ้น, พันธบัตร, สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities), อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange/Forex), หรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ การซื้อขายตราสารอนุพันธ์ไม่ได้เป็นการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง แต่เป็นการซื้อขายสิทธิและความผูกพันที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์นั้นๆ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเก็งกำไร, ป้องกันความเสี่ยง หรือบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของการซื้อขายตราสารอนุพันธ์สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงประเภทของตราสารอนุพันธ์, กลไกการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, และกลยุทธ์การลงทุนที่เกี่ยวข้อง
- ประเภทของตราสารอนุพันธ์
ตราสารอนุพันธ์มีหลากหลายประเภท แต่หลักๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
- **Forward Contracts:** สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการตกลงซื้อขายสินทรัพย์ในอนาคตตามราคาและปริมาณที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สัญญา Forward มักจะไม่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และมักจะทำระหว่างสถาบันการเงินหรือบริษัทขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา การป้องกันความเสี่ยง
- **Futures Contracts:** คล้ายกับ Forward Contracts แต่มีการซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Futures Exchange) มีการกำหนดมาตรฐานของสัญญา (Standardized Contracts) และมีการหักล้างความเสี่ยง (Clearing House) เพื่อลดความเสี่ยงของคู่สัญญา ตลาดซื้อขายล่วงหน้า
- **Options Contracts:** สัญญาซื้อขายสิทธิ ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ซื้อ (Holder) แต่ไม่บังคับให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงตามราคาที่กำหนดไว้ (Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (Expiration Date) มีสองประเภทหลักคือ Call Options (สิทธิในการซื้อ) และ Put Options (สิทธิในการขาย) Call Option Put Option
- **Swaps:** สัญญาแลกเปลี่ยนกระแสเงินสด (Cash Flows) ระหว่างคู่สัญญา เช่น Interest Rate Swaps (แลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย) และ Currency Swaps (แลกเปลี่ยนสกุลเงิน) ใช้ในการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน Interest Rate Swap Currency Swap
- **Binary Options:** ตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นการทายว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงหรือต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่กำหนด หากทายถูกจะได้รับผลตอบแทนที่กำหนดไว้ แต่หากทายผิดจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด Binary Options คืออะไร
- กลไกการทำงานของตราสารอนุพันธ์
การทำงานของตราสารอนุพันธ์มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร แต่โดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาที่มีมูลค่าผูกโยงกับสินทรัพย์อ้างอิง ตัวอย่างเช่น:
- **Futures Contract:** ผู้ลงทุน A คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบจะสูงขึ้นในอนาคต จึงซื้อสัญญา Futures น้ำมันดิบ เมื่อถึงวันหมดอายุของสัญญา ถ้าราคาน้ำมันดิบสูงกว่าราคาที่ตกลงไว้ในสัญญา ผู้ลงทุน A จะได้รับผลกำไร แต่หากราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า ผู้ลงทุน A จะขาดทุน
- **Options Contract:** ผู้ลงทุน B ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่อาจลดลง จึงซื้อ Put Option ของหุ้นตัวนั้น หากราคาหุ้นลดลง ผู้ลงทุน B สามารถใช้สิทธิใน Put Option เพื่อขายหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งสูงกว่าราคาตลาด ทำให้ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากราคาหุ้นสูงขึ้น ผู้ลงทุน B จะเสียค่าพรีเมียมที่จ่ายไปในการซื้อ Put Option
- **Binary Options:** ผู้ลงทุน C คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง จึงซื้อ Binary Option โดยคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทน 80% หากทายถูก แต่หากทายผิดจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด
- ข้อดีและข้อเสียของการซื้อขายตราสารอนุพันธ์
- ข้อดี:**
- **Leverage:** ตราสารอนุพันธ์ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถควบคุมมูลค่าสินทรัพย์จำนวนมากได้ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย (Leverage) ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง
- **Hedging:** ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง
- **Speculation:** ใช้ในการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา
- **Liquidity:** ตลาดตราสารอนุพันธ์ส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสูง ทำให้ง่ายต่อการซื้อขาย
- **Market Efficiency:** ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดโดยรวม
- ข้อเสีย:**
- **High Risk:** Leverage ที่สูงทำให้มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ อาจทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก
- **Complexity:** ตราสารอนุพันธ์บางประเภทมีความซับซ้อน ทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจ
- **Counterparty Risk:** ความเสี่ยงที่คู่สัญญาจะไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา (โดยเฉพาะในสัญญา Forward ที่ไม่ได้ผ่านการหักล้างความเสี่ยง)
- **Regulation:** การกำกับดูแลตราสารอนุพันธ์อาจยังไม่ครอบคลุมเพียงพอในบางประเทศ
- กลยุทธ์การลงทุนในตราสารอนุพันธ์
มีกลยุทธ์การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มากมาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุน ตัวอย่างเช่น:
- **Covered Call:** การขาย Call Option บนหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อเพิ่มรายได้จากค่าพรีเมียมที่ได้รับ Covered Call Strategy
- **Protective Put:** การซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่อาจลดลง Protective Put Strategy
- **Straddle:** การซื้อทั้ง Call Option และ Put Option บนสินทรัพย์เดียวกัน โดยคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่อย่างรุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง Straddle Strategy
- **Strangle:** คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ Strike Price ที่แตกต่างกัน เพื่อลดต้นทุนในการลงทุน Strangle Strategy
- **Butterfly Spread:** กลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้น โดยใช้การผสมผสานระหว่าง Call Option และ Put Option เพื่อจำกัดความเสี่ยงและผลตอบแทน Butterfly Spread Strategy
- **Trend Following:** การใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อระบุแนวโน้มของราคาและเข้าซื้อขายตามแนวโน้มนั้นๆ Moving Average MACD
- **Mean Reversion:** การคาดการณ์ว่าราคาจะกลับสู่ค่าเฉลี่ยในระยะยาว Bollinger Bands RSI
- **Breakout Trading:** การเข้าซื้อขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ Support and Resistance
- **Momentum Trading:** การเข้าซื้อขายตามแรงส่งของราคาที่กำลังปรับตัวขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว Price Momentum
- **Arbitrage:** การแสวงหาผลกำไรจากความแตกต่างของราคาในตลาดต่างๆ Arbitrage Strategy
- **Binary Options - High/Low:** การทายว่าราคาจะสูงหรือต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้
- **Binary Options - Touch/No Touch:** การทายว่าราคาจะแตะหรือจะไม่แตะราคาที่กำหนดไว้
- **Binary Options - Range:** การทายว่าราคาจะอยู่ในช่วงราคาที่กำหนดไว้
- การวิเคราะห์ในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์
การวิเคราะห์มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ผู้ลงทุนสามารถใช้การวิเคราะห์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่:
- **Fundamental Analysis:** การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์อ้างอิง เช่น สภาพเศรษฐกิจ, ผลประกอบการของบริษัท, อุปสงค์และอุปทาน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- **Technical Analysis:** การวิเคราะห์รูปแบบราคาและปริมาณการซื้อขายเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต การวิเคราะห์ทางเทคนิค
- **Quantitative Analysis:** การใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติเพื่อประเมินมูลค่าและความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
- ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
- **ทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์:** ก่อนลงทุนในตราสารอนุพันธ์ใดๆ ควรทำความเข้าใจลักษณะของผลิตภัณฑ์, กลไกการทำงาน, และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด
- **บริหารความเสี่ยง:** กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสมและใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น Stop-Loss Order เพื่อจำกัดการขาดทุน
- **ติดตามข่าวสาร:** ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิง
- **เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ:** เลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตและมีชื่อเสียงที่ดี
- **เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนน้อย:** เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนน้อยๆ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดก่อนที่จะลงทุนในจำนวนที่มากขึ้น
- สรุป
การซื้อขายตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็งกำไร, ป้องกันความเสี่ยง, และบริหารจัดการความเสี่ยง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน และควรบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
| ตราสารอนุพันธ์ | สินทรัพย์อ้างอิง | วัตถุประสงค์การใช้งาน |
|---|---|---|
| น้ำมันดิบ, ทองคำ, สินค้าเกษตร | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร | ||
| หุ้น, ดัชนี, อัตราแลกเปลี่ยน | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไร, สร้างรายได้ | ||
| อัตราดอกเบี้ย, สกุลเงิน | บริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน | ||
| หุ้น, Forex, สินค้าโภคภัณฑ์ | เก็งกำไรระยะสั้น |
การซื้อขาย Forex การลงทุนในหุ้น การลงทุนในกองทุนรวม การวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
