ออปชั่นแบบ Call หรือ Put

ออปชั่นแบบ Call หรือ Put: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นในไบนารี่ออปชั่น

บทนำ

ไบนารี่ออปชั่นเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยความเรียบง่ายในการทำความเข้าใจและศักยภาพในการทำกำไรที่สูง ทำให้ดึงดูดนักลงทุนทั้งมือใหม่และผู้มีประสบการณ์ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สุดที่นักเทรดไบนารี่ออปชั่นต้องเข้าใจคือความแตกต่างระหว่างออปชั่นแบบ Call และ Put บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับออปชั่นทั้งสองประเภทนี้ รวมถึงวิธีการทำงาน กลยุทธ์การเทรด และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เริ่มต้นสามารถเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ออปชั่นคืออะไร?

ก่อนที่จะเจาะลึกไปที่ออปชั่นแบบ Call และ Put เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าออปชั่นคืออะไร ออปชั่นคือสัญญาระหว่างสองฝ่าย ที่ให้สิทธิ์ (แต่ไม่บังคับ) แก่ฝ่ายหนึ่งในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น สกุลเงิน หุ้น ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์) ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่าราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่าวันหมดอายุ หรือ Expiration Date)

ในบริบทของไบนารี่ออปชั่น ออปชั่นจะถูกลดทอนให้เรียบง่ายขึ้น โดยนักเทรดเพียงแค่คาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงขึ้นหรือต่ำลงเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันภายในระยะเวลาที่กำหนด หากการคาดการณ์ถูกต้อง นักเทรดจะได้รับผลตอบแทนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หากผิดพลาด นักเทรดจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

ออปชั่นแบบ Call

ออปชั่นแบบ Call (Call Option) คือสัญญาสิทธิ์ในการ *ซื้อ* สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ นักเทรดจะเลือกซื้อออปชั่นแบบ Call เมื่อคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ *สูงขึ้น*

• ตัวอย่าง:* สมมติว่าคุณคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า คุณซื้อออปชั่นแบบ Call สำหรับทองคำ โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคาทองคำสูงกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อถึงวันหมดอายุ คุณจะได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่หากราคาทองคำต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

ออปชั่นแบบ Put

ออปชั่นแบบ Put (Put Option) คือสัญญาสิทธิ์ในการ *ขาย* สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ นักเทรดจะเลือกซื้อออปชั่นแบบ Put เมื่อคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะ *ลดลง*

• ตัวอย่าง:* สมมติว่าคุณคาดการณ์ว่าราคาหุ้น Apple จะลดลงในอีกห้านาทีข้างหน้า คุณซื้อออปชั่นแบบ Put สำหรับหุ้น Apple โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 170 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากราคาหุ้น Apple ต่ำกว่า 170 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อถึงวันหมดอายุ คุณจะได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่หากราคาหุ้น Apple สูงกว่า 170 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

ตารางสรุปความแตกต่างระหว่าง Call และ Put

ความแตกต่างระหว่างออปชั่นแบบ Call และ Put

ประเภทออปชั่น	การคาดการณ์ราคา	สิทธิ์
Call Option	ราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงขึ้น	ซื้อสินทรัพย์อ้างอิง
Put Option	ราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะลดลง	ขายสินทรัพย์อ้างอิง

การเลือกออปชั่นที่เหมาะสม: ปัจจัยที่ต้องพิจารณา

การเลือกออปชั่นแบบ Call หรือ Put ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่:

• แนวโน้มของตลาด (Market Trend): หากคุณเชื่อว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ออปชั่นแบบ Call อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ในทางกลับกัน หากคุณเชื่อว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) ออปชั่นแบบ Put อาจเหมาะสมกว่า การวิเคราะห์แนวโน้ม
• การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): การใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Averages, Relative Strength Index (RSI), และ MACD สามารถช่วยคุณระบุสัญญาณซื้อขายและคาดการณ์ทิศทางของราคาได้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง
• การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis): การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ข่าวเศรษฐกิจ รายงานผลประกอบการ และเหตุการณ์ทางการเมือง สามารถช่วยคุณประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาได้ การวิเคราะห์พื้นฐานเบื้องต้น
• ความผันผวนของตลาด (Market Volatility): ตลาดที่มีความผันผวนสูงอาจเอื้อต่อการเทรดออปชั่นแบบ Call หรือ Put แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่าเช่นกัน การวัดความผันผวน
• ระยะเวลาหมดอายุ (Expiration Time): ระยะเวลาหมดอายุที่สั้นกว่ามักจะมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ก็อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน การจัดการระยะเวลาหมดอายุ

กลยุทธ์การเทรดออปชั่นแบบ Call และ Put

มีกลยุทธ์การเทรดออปชั่นแบบ Call และ Put มากมายที่นักเทรดสามารถใช้ได้ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุน ตัวอย่างเช่น:

• Straddle Strategy: กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อทั้งออปชั่นแบบ Call และ Put ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นหรือลง กลยุทธ์ Straddle
• Strangle Strategy: คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน (Call Option มีราคาใช้สิทธิสูงกว่า Put Option) ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะมีความผันผวนสูงมาก กลยุทธ์ Strangle
• Covered Call Strategy: กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการขายออปชั่นแบบ Call บนหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ใช้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่คุณถืออยู่ กลยุทธ์ Covered Call
• Protective Put Strategy: กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อออปชั่นแบบ Put เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่ กลยุทธ์ Protective Put
• Binary Options Ladder Strategy: กลยุทธ์ที่ใช้การเปิดหลายออปชั่นที่มีระยะเวลาหมดอายุต่างกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร กลยุทธ์ Binary Options Ladder
• Trend Following Strategy: เทรดตามแนวโน้มของราคาโดยใช้ Bollinger Bands และ Ichimoku Cloud เพื่อระบุจุดเข้าและออก กลยุทธ์ Trend Following
• Breakout Strategy: จับจังหวะการทะลุแนวต้านหรือแนวรับโดยใช้ Fibonacci Retracement และ Pivot Points เป็นตัวช่วย กลยุทธ์ Breakout
• Reversal Strategy: คาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้มโดยใช้ Stochastic Oscillator และ Williams %R กลยุทธ์ Reversal
• Scalping Strategy: ทำกำไรจากส่วนต่างราคาเล็กน้อยโดยใช้ Japanese Candlesticks และ Volume Weighted Average Price (VWAP) กลยุทธ์ Scalping
• News Trading Strategy: เทรดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา กลยุทธ์ News Trading
• Pin Bar Strategy: ระบุรูปแบบ Pin Bar บนกราฟราคาเพื่อคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้ม กลยุทธ์ Pin Bar
• Engulfing Pattern Strategy: ใช้รูปแบบ Engulfing เพื่อยืนยันการกลับตัวของแนวโน้ม กลยุทธ์ Engulfing Pattern
• Harmonic Pattern Strategy: ใช้รูปแบบ Harmonic เช่น Butterfly และ Crab เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา กลยุทธ์ Harmonic Pattern
• Three Indian Strategy: ใช้รูปแบบ Three Indian เพื่อคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้ม กลยุทธ์ Three Indian
• Option Chain Analysis: วิเคราะห์ห่วงโซ่ออปชั่นเพื่อประเมินความคาดหวังของตลาด การวิเคราะห์ Option Chain

การจัดการความเสี่ยง

การเทรดไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง นักเทรดควรตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้และใช้มาตรการที่เหมาะสมในการจัดการความเสี่ยง:

• การกำหนดขนาดการเทรด (Position Sizing): อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถสูญเสียได้ กำหนดขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การจัดการเงินทุน
• การตั้ง Stop-Loss: ตั้ง Stop-Loss เพื่อจำกัดการสูญเสียสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรดแต่ละครั้ง การตั้ง Stop-Loss
• การกระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงเพียงอย่างเดียว กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย การกระจายความเสี่ยง
• การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account): ฝึกฝนการเทรดด้วยบัญชีทดลองก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง บัญชีทดลอง
• การศึกษาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning): ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดไบนารี่ออปชั่นและกลยุทธ์การเทรดอย่างต่อเนื่อง แหล่งข้อมูลการเรียนรู้

สรุป

ออปชั่นแบบ Call และ Put เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่น การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างออปชั่นทั้งสองประเภทนี้ รวมถึงปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกออปชั่นที่เหมาะสม กลยุทธ์การเทรด และการจัดการความเสี่ยง จะช่วยให้นักเทรดสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้

ไบนารี่ออปชั่น การเทรดออปชั่น การลงทุน ตลาดการเงิน

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น