Trading Insurance

1. Trading Insurance

Trading Insurance หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ประกันความเสี่ยง’ ในการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน โดยการซื้อ ‘ประกัน’ สำหรับการเทรดที่กำลังจะทำ กลไกนี้คล้ายคลึงกับการซื้อประกันในชีวิตหรือประกันรถยนต์ แต่ในโลกของการเงิน กลยุทธ์นี้มีรายละเอียดที่ซับซ้อนและต้องใช้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดของ Trading Insurance สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงข้อดี ข้อเสีย วิธีการใช้งาน และกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง

หลักการพื้นฐานของ Trading Insurance

แนวคิดเบื้องหลัง Trading Insurance คือการยอมจ่ายค่า ‘เบี้ยประกัน’ เล็กน้อยเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก หากการเทรดไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เบี้ยประกันนี้จะช่วยชดเชยส่วนหนึ่งของการขาดทุนที่เกิดขึ้น ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของการเทรดลดลง

ในบริบทของไบนารี่ออปชั่น การซื้อประกันความเสี่ยงมักจะหมายถึงการเปิดสถานะที่ตรงข้ามกับสถานะเดิมที่เปิดไว้ ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงขึ้นและเปิดสถานะ ‘Call’ คุณอาจซื้อ ‘Put’ option เพื่อทำหน้าที่เป็นประกัน หากราคาตกลงจริง คุณจะขาดทุนจากสถานะ ‘Call’ แต่จะได้รับผลตอบแทนจากสถานะ ‘Put’ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบโดยรวม

ทำไมต้องใช้ Trading Insurance?

• ลดความเสี่ยง: นี่คือเหตุผลหลักในการใช้ Trading Insurance ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดจากการเทรดที่ไม่ประสบความสำเร็จ
• การจัดการเงินทุน: ช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการจำกัดจำนวนเงินที่อาจสูญเสียได้ในการเทรดแต่ละครั้ง
• ความสบายใจ: การมีประกันความเสี่ยงช่วยให้นักลงทุนรู้สึกสบายใจและมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจเทรด
• โอกาสในการทำกำไร: แม้ว่าจุดประสงค์หลักคือการลดความเสี่ยง แต่บางครั้งการใช้ Trading Insurance ก็สามารถนำไปสู่ผลกำไรได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตลาดมีความผันผวนสูง

วิธีการใช้งาน Trading Insurance

1. การวิเคราะห์ตลาด: ก่อนที่จะทำการเทรดใดๆ นักลงทุนควรทำการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) 2. การเลือกสินทรัพย์: เลือกสินทรัพย์ที่คุณมีความรู้ความเข้าใจ และมีความผันผวนที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ 3. การกำหนดขนาด Position: กำหนดขนาดของ Position ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้ 4. การซื้อประกัน: ซื้อ Option ที่ตรงข้ามกับ Position หลักของคุณ โดยทั่วไปแล้ว Option ที่ใช้เป็นประกันมักจะมีวันหมดอายุที่ใกล้เคียงกับ Position หลัก 5. การติดตามผล: ติดตามผลการเทรดอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ของคุณตามความจำเป็น

ตัวอย่างการใช้งาน Trading Insurance

สมมติว่าคุณต้องการเทรดไบนารี่ออปชั่นเกี่ยวกับราคาทองคำ โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะสูงขึ้น คุณเปิดสถานะ ‘Call’ ที่มีมูลค่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ และมีผลตอบแทน 80% หากคุณชนะ คุณจะได้รับผลตอบแทน 80 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากคุณแพ้ คุณจะสูญเสียเงินทุน 100 ดอลลาร์สหรัฐ

เพื่อลดความเสี่ยง คุณตัดสินใจซื้อ ‘Put’ option (ประกัน) สำหรับการเทรดนี้ โดยมีมูลค่า 20 ดอลลาร์สหรัฐ และมีผลตอบแทน 70%

• สถานการณ์ที่ 1: ราคาทองคำสูงขึ้น (คุณชนะ): คุณได้รับผลตอบแทน 80 ดอลลาร์สหรัฐจากสถานะ ‘Call’ แต่ต้องเสีย 20 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับ ‘Put’ option ทำให้กำไรสุทธิของคุณคือ 60 ดอลลาร์สหรัฐ
• สถานการณ์ที่ 2: ราคาทองคำลดลง (คุณแพ้): คุณสูญเสียเงินทุน 100 ดอลลาร์สหรัฐจากสถานะ ‘Call’ แต่ได้รับผลตอบแทน 70% ของ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (14 ดอลลาร์สหรัฐ) จาก ‘Put’ option ทำให้การขาดทุนสุทธิของคุณคือ 86 ดอลลาร์สหรัฐ

จะเห็นได้ว่าการซื้อ ‘Put’ option ช่วยลดการขาดทุนของคุณจาก 100 ดอลลาร์สหรัฐเหลือเพียง 86 ดอลลาร์สหรัฐ

ข้อดีและข้อเสียของ Trading Insurance

ข้อดีและข้อเสียของ Trading Insurance

ข้อเสีย|
เพิ่มค่าใช้จ่ายในการเทรด (เบี้ยประกัน)|	อาจลดผลกำไรโดยรวม|	ต้องมีความเข้าใจใน Option และกลยุทธ์การเทรด|	อาจมีความซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น|

กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ Trading Insurance

• Straddle: เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าทิศทางของราคาจะเป็นอย่างไร โดยนักลงทุนจะซื้อทั้ง ‘Call’ และ ‘Put’ option ที่มีราคา Strike และวันหมดอายุเดียวกัน Straddle Strategy
• Strangle: คล้ายกับ Straddle แต่ ‘Call’ และ ‘Put’ option จะมีราคา Strike ที่แตกต่างกัน Strangle Strategy
• Butterfly Spread: เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะอยู่ในช่วงแคบๆ Butterfly Spread
• Covered Call: เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคุณถือครองสินทรัพย์พื้นฐานอยู่แล้ว และต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติม Covered Call Strategy
• Protective Put: เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลดลงของราคาของสินทรัพย์ที่คุณถือครองอยู่ Protective Put Strategy
• Ratio Spread: เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อและขาย Option ในอัตราส่วนที่แตกต่างกัน Ratio Spread
• Collar: ใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงและจำกัดผลกำไร Collar Strategy

การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง

• Support and Resistance: การระบุระดับ Support และ Resistance สามารถช่วยในการกำหนดราคา Strike ที่เหมาะสมสำหรับ Option ที่ใช้เป็นประกัน Support and Resistance
• Trendlines: การวิเคราะห์ Trendlines สามารถช่วยในการประเมินทิศทางของราคา และเลือก Option ที่เหมาะสม Trendlines
• Moving Averages: การใช้ Moving Averages สามารถช่วยในการระบุแนวโน้มของราคา และสัญญาณการซื้อขาย Moving Averages
• Bollinger Bands: การใช้ Bollinger Bands สามารถช่วยในการประเมินความผันผวนของราคา และเลือก Option ที่เหมาะสม Bollinger Bands
• Fibonacci Retracements: การใช้ Fibonacci Retracements สามารถช่วยในการระบุระดับราคาที่อาจมีการกลับตัว Fibonacci Retracements
• Relative Strength Index (RSI): ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและสภาวะซื้อ/ขายมากเกินไป RSI
• MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม MACD

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)

• Volume Confirmation: การยืนยันแนวโน้มของราคาด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
• Volume Spikes: การสังเกตการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคา
• On Balance Volume (OBV): ใช้เพื่อวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขาย OBV
• Accumulation/Distribution Line: ใช้เพื่อประเมินแรงซื้อและแรงขาย Accumulation/Distribution Line

ข้อควรระวัง

• ค่าเบี้ยประกัน: การซื้อประกันความเสี่ยงมีค่าใช้จ่าย ดังนั้นคุณต้องพิจารณาว่าค่าเบี้ยประกันนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่คุณต้องการลดหรือไม่
• ความซับซ้อน: การใช้ Trading Insurance อาจมีความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น คุณควรทำความเข้าใจกลไกการทำงานของ Option และกลยุทธ์การเทรดอย่างละเอียดก่อนที่จะใช้งาน
• การจัดการความคาดหวัง: Trading Insurance ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าคุณจะไม่ขาดทุน แต่เป็นการลดความเสี่ยงในการขาดทุนจำนวนมากเท่านั้น

สรุป

Trading Insurance เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนไบนารี่ออปชั่นที่ต้องการลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน อย่างไรก็ตาม การใช้งานกลยุทธ์นี้ต้องใช้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียด การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และการจัดการความคาดหวังที่สมเหตุสมผล จะช่วยให้คุณสามารถใช้ Trading Insurance ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการซื้อขาย

ไบนารี่ออปชั่น การลงทุน การจัดการความเสี่ยง Option (การเงิน) การวิเคราะห์ตลาด กลยุทธ์การเทรด การเทรดออนไลน์ การเงิน การลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะยาว การบริหารเงินทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน Volatility (การเงิน) Risk Management Hedging (การเงิน)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น