Investopedia - Covered Call
(บทความยาวประมาณ 8000 โทเค็น)
Investopedia Covered Call
- Covered Call คืออะไร?**
Covered Call เป็นกลยุทธ์การลงทุนใน ออปชั่น ที่ใช้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้ว เป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อเทียบกับกลยุทธ์ออปชั่นอื่นๆ เนื่องจากคุณไม่ได้กำลังเสี่ยงเพียงแค่เงินลงทุนในออปชั่น แต่ยังมีหุ้นอ้างอิงเป็นหลักประกันอีกด้วย กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะคงที่หรือปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้นๆ แต่ไม่ต้องการเสี่ยงกับการที่ราคาหุ้นจะร่วงลงอย่างรุนแรง
- หลักการทำงานของ Covered Call**
Covered Call ทำงานโดยการขาย Call Option บนหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่ (หุ้นอ้างอิง) เมื่อคุณขาย Call Option คุณกำลังให้สิทธิ์แก่ผู้ซื้อออปชั่นในการซื้อหุ้นของคุณในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ภายในวันที่กำหนด (วันหมดอายุ หรือ Expiration Date) โดยแลกกับค่าพรีเมี่ยม (Premium) ที่ผู้ซื้อออปชั่นจ่ายให้คุณ
- **การครอบครองหุ้น (Covered):** คำว่า "Covered" หมายถึงคุณเป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงจำนวนที่เพียงพอต่อการส่งมอบตามข้อกำหนดของออปชั่น หากผู้ซื้อออปชั่นใช้สิทธิ (Exercise) คุณจะต้องขายหุ้นของคุณในราคาใช้สิทธิ
- **การขาย Call Option (Selling Call Option):** การขาย Call Option คือการที่คุณรับภาระผูกพันในการขายหุ้นของคุณในราคาใช้สิทธิ หากผู้ซื้อออปชั่นต้องการใช้สิทธิ
- **ค่าพรีเมี่ยม (Premium):** ค่าพรีเมี่ยมคือรายได้ที่คุณได้รับจากการขาย Call Option ซึ่งถือเป็นรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
- ตัวอย่างการทำ Covered Call**
สมมติว่าคุณมีหุ้น ABC อยู่ 100 หุ้น ที่ราคาปัจจุบัน 50 บาทต่อหุ้น และคุณคาดว่าราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในเดือนหน้า คุณสามารถขาย Call Option ที่มีราคาใช้สิทธิ 55 บาท และวันหมดอายุในอีก 1 เดือน โดยได้รับค่าพรีเมี่ยม 2 บาทต่อหุ้น
- **สถานการณ์ที่ 1: ราคาหุ้น ABC ต่ำกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ** ผู้ซื้อออปชั่นจะไม่ใช้สิทธิ เนื่องจากราคาหุ้นต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ คุณจะเก็บค่าพรีเมี่ยม 200 บาท (2 บาท x 100 หุ้น) เป็นรายได้ และยังคงเป็นเจ้าของหุ้น ABC ทั้ง 100 หุ้น
- **สถานการณ์ที่ 2: ราคาหุ้น ABC สูงกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ** ผู้ซื้อออปชั่นจะใช้สิทธิ และคุณจะต้องขายหุ้น ABC ของคุณในราคา 55 บาทต่อหุ้น คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคา (5 บาทต่อหุ้น) บวกกับค่าพรีเมี่ยม 2 บาทต่อหุ้น รวมเป็นกำไร 7 บาทต่อหุ้น หรือ 700 บาท
- ข้อดีของ Covered Call**
- **สร้างรายได้เพิ่มเติม:** Covered Call ช่วยให้คุณสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่คุณเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
- **ลดความเสี่ยง:** ค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้บางส่วน
- **กลยุทธ์ที่ค่อนข้างปลอดภัย:** เนื่องจากคุณเป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงอยู่แล้ว จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่ากลยุทธ์ออปชั่นอื่นๆ
- **เหมาะกับตลาด Sideways:** กลยุทธ์นี้ทำกำไรได้ดีที่สุดในตลาดที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือ Sideways
- ข้อเสียของ Covered Call**
- **จำกัดผลกำไร:** หากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมาก คุณจะพลาดโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่สูงกว่า เนื่องจากคุณถูกผูกมัดที่จะขายหุ้นในราคาใช้สิทธิ
- **ความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้น:** แม้ว่าค่าพรีเมี่ยมจะช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง แต่คุณยังคงมีความเสี่ยงจากการที่ราคาหุ้นลดลง
- **ต้องมีหุ้นอ้างอิง:** คุณต้องมีหุ้นอ้างอิงจำนวนที่เพียงพอต่อการส่งมอบตามข้อกำหนดของออปชั่น
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการทำ Covered Call**
- **ราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** การเลือกราคาใช้สิทธิที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่ต่ำเกินไป คุณอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น แต่หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่สูงเกินไป คุณอาจไม่ได้รับค่าพรีเมี่ยมที่เพียงพอ
- **วันหมดอายุ (Expiration Date):** การเลือกวันหมดอายุที่เหมาะสมก็มีความสำคัญเช่นกัน หากคุณเลือกวันหมดอายุที่สั้นเกินไป คุณอาจไม่ได้รับค่าพรีเมี่ยมที่เพียงพอ แต่หากคุณเลือกวันหมดอายุที่ยาวเกินไป ความเสี่ยงจากการที่ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงอาจสูงขึ้น
- **ค่าพรีเมี่ยม (Premium):** ค่าพรีเมี่ยมที่ได้รับควรสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขาย Call Option
- **ความผันผวนของราคาหุ้น (Volatility):** หุ้นที่มีความผันผวนสูงมักจะมีค่าพรีเมี่ยมที่สูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าเช่นกัน
- **สภาพตลาด (Market Conditions):** สภาพตลาดโดยรวมก็มีผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์ Covered Call ด้วย
- ความแตกต่างระหว่าง Covered Call กับ Naked Call**
| คุณสมบัติ | Covered Call | Naked Call | |---|---|---| | การครอบครองหุ้นอ้างอิง | มี | ไม่มี | | ความเสี่ยง | ต่ำกว่า | สูงกว่า | | ศักยภาพในการทำกำไร | จำกัด | ไม่จำกัด | | เหมาะสำหรับ | นักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่ตนเองเป็นเจ้าของ | นักลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างมาก |
- กลยุทธ์ออปชั่นที่เกี่ยวข้อง**
- **Protective Put:** Protective Put เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้น
- **Straddle:** Straddle เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะมีความผันผวนอย่างมาก
- **Strangle:** Strangle เป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับ Straddle แต่มีต้นทุนที่ต่ำกว่า
- **Bull Call Spread:** Bull Call Spread เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น
- **Bear Put Spread:** Bear Put Spread เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลง
- **Iron Condor:** Iron Condor เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ
- **Butterfly Spread:** Butterfly Spread เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- **Calendar Spread:** Calendar Spread เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าความผันผวนของราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลง
- **Diagonal Spread:** Diagonal Spread เป็นกลยุทธ์ที่ผสมผสานระหว่าง Calendar Spread และ Vertical Spread
- **Ratio Spread:** Ratio Spread เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย**
การทำ Covered Call ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อประเมินแนวโน้มของราคาหุ้นและเลือกราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุที่เหมาะสม
- **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตเพื่อทำนายแนวโน้มของราคาในอนาคต เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ เส้นแนวโน้ม (Trendlines), รูปแบบกราฟ (Chart Patterns), ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) เช่น Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่), MACD (Moving Average Convergence Divergence), RSI (Relative Strength Index) และ Bollinger Bands (แถบ Bollinger)
- **การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายช่วยให้เข้าใจถึงแรงกดดันในการซื้อและขายในตลาด การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายมักจะบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น
- **การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis):** การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานช่วยให้เข้าใจถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น โดยพิจารณาจากข้อมูลทางการเงินของบริษัท เช่น รายได้ (Revenue), กำไร (Profit), หนี้สิน (Debt) และ กระแสเงินสด (Cash Flow)
- การจัดการความเสี่ยง**
แม้ว่า Covered Call จะเป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจัดการ
- **การกำหนด Stop-Loss Order:** การกำหนด Stop-Loss Order ช่วยให้คุณจำกัดความเสียหายหากราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว
- **การปรับปรุงตำแหน่ง (Position Adjustment):** หากราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ คุณอาจต้องปรับปรุงตำแหน่งของคุณ เช่น การ Roll Call Option (เลื่อนวันหมดอายุหรือราคาใช้สิทธิ)
- **การ Diversification:** การกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นหลายตัวช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
- สรุป**
Covered Call เป็นกลยุทธ์ออปชั่นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่ตนเองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว โดยมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม การทำ Covered Call ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักการทำงานของออปชั่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย และการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
Binary Options เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่น่าสนใจ แต่มีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาและทำความเข้าใจอย่างละเอียดก่อนลงทุน
การลงทุนในหุ้น ออปชั่น การบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การซื้อขายออนไลน์ ตลาดทุน การลงทุนระยะยาว การลงทุนระยะสั้น การกระจายความเสี่ยง การวางแผนการเงิน การจัดการพอร์ตการลงทุน การวิเคราะห์กราฟ การอ่านข่าวเศรษฐกิจ กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนแบบเน้นคุณค่า การลงทุนแบบเติบโต การลงทุนแบบปันผล การลงทุนในต่างประเทศ (Category:Options strategies)
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
