European Options

European Options

ออปชั่น (Options) เป็นเครื่องมือทางการเงินอนุพันธ์ (Derivative) ที่ให้สิทธิ แต่ไม่ใช่ภาระผูกพันแก่ผู้ถือในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (Strike Price) ภายในหรือ ณ วันที่กำหนด (Expiration Date) หนึ่งในประเภทของออปชั่นที่สำคัญคือ European Options ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจาก American Options บทความนี้จะเจาะลึกรายละเอียดของ European Options สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงกลไกการทำงาน, ความแตกต่างจากออปชั่นประเภทอื่น, การประเมินราคา, กลยุทธ์การซื้อขาย และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

European Options คืออะไร?

European Options เป็นออปชั่นที่สามารถใช้สิทธิ (Exercise) ได้เฉพาะ ณ วันที่หมดอายุ (Expiration Date) เท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิก่อนวันหมดอายุได้ นี่เป็นความแตกต่างที่สำคัญจาก American Options ซึ่งสามารถใช้สิทธิได้ตลอดอายุของสัญญา

มี European Options สองประเภทหลัก:

• Call Option: ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคา Strike Price ณ วันหมดอายุ ผู้ถือ Call Option จะทำกำไรหากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงสูงกว่า Strike Price ณ วันหมดอายุ
• Put Option: ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคา Strike Price ณ วันหมดอายุ ผู้ถือ Put Option จะทำกำไรหากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงต่ำกว่า Strike Price ณ วันหมดอายุ

กลไกการทำงานของ European Options

สมมติว่าคุณเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัท ABC ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 50 บาท จะเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณสามารถซื้อ Call Option ของหุ้น ABC ที่มี Strike Price 55 บาท และวันหมดอายุในอีก 3 เดือน หากราคาหุ้น ABC สูงกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ คุณสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคา 55 บาท และขายในตลาดที่ราคาตลาดที่สูงกว่า ทำให้คุณได้กำไร หากราคาหุ้น ABC ต่ำกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ คุณจะไม่ใช้สิทธิ และจะสูญเสียเพียงค่าพรีเมี่ยม (Premium) ที่จ่ายไปในการซื้อ Call Option

ในทางกลับกัน หากคุณเชื่อว่าราคาหุ้นของบริษัท ABC จะลดลง คุณสามารถซื้อ Put Option ของหุ้น ABC ที่มี Strike Price 50 บาท และวันหมดอายุในอีก 3 เดือน หากราคาหุ้น ABC ต่ำกว่า 50 บาท ณ วันหมดอายุ คุณสามารถใช้สิทธิขายหุ้นในราคา 50 บาท แม้ว่าราคาตลาดจะต่ำกว่าก็ตาม ทำให้คุณได้กำไร หากราคาหุ้น ABC สูงกว่า 50 บาท ณ วันหมดอายุ คุณจะไม่ใช้สิทธิ และจะสูญเสียเพียงค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไปในการซื้อ Put Option

ความแตกต่างระหว่าง European Options และ American Options

| คุณสมบัติ | European Options | American Options | |---|---|---| | การใช้สิทธิ | ใช้สิทธิได้เฉพาะ ณ วันหมดอายุ | ใช้สิทธิได้ตลอดอายุสัญญา | | ความยืดหยุ่น | น้อยกว่า | มากกว่า | | ราคาสูงกว่า/ต่ำกว่า | โดยทั่วไปราคาต่ำกว่า | โดยทั่วไปราคาสูงกว่า | | ความซับซ้อนในการประเมินราคา | น้อยกว่า | มากกว่า |

American Options มีความยืดหยุ่นมากกว่า European Options เนื่องจากสามารถใช้สิทธิได้ตลอดอายุสัญญา ทำให้ American Options มีราคาสูงกว่า European Options ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ American Options มีความซับซ้อนในการประเมินราคามากกว่า

การประเมินราคา European Options

การประเมินราคา European Options ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือแบบจำลอง Black-Scholes Model ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

• ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง
• Strike Price
• เวลาจนถึงวันหมดอายุ
• อัตราดอกเบี้ยแบบไม่มีความเสี่ยง (Risk-Free Interest Rate)
• ความผันผวน (Volatility) ของสินทรัพย์อ้างอิง

แบบจำลอง Black-Scholes มีข้อจำกัดบางประการ เช่น สมมติว่าความผันผวนคงที่ และไม่ได้คำนึงถึงการจ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินราคา European Options

กลยุทธ์การซื้อขาย European Options

มีกลยุทธ์การซื้อขาย European Options มากมายที่นักลงทุนสามารถใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนหรือบริหารความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น:

• Covered Call: ขาย Call Option บนหุ้นที่คุณถืออยู่ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม
• Protective Put: ซื้อ Put Option บนหุ้นที่คุณถืออยู่ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้น
• Straddle: ซื้อทั้ง Call Option และ Put Option ที่มี Strike Price และวันหมดอายุเดียวกัน เพื่อทำกำไรจากความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
• Strangle: ซื้อ Call Option และ Put Option ที่มี Strike Price ต่างกัน แต่มีวันหมดอายุเดียวกัน เพื่อทำกำไรจากความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมาก
• Butterfly Spread: เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขาย Call Options หรือ Put Options หลายตัวที่มี Strike Price ที่แตกต่างกัน เพื่อทำกำไรจากความเชื่อมั่นว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงที่จำกัด
• Long Call - พยากรณ์ว่าราคาจะขึ้น
• Short Call - พยากรณ์ว่าราคาจะไม่ขึ้น
• Long Put - พยากรณ์ว่าราคาจะลง
• Short Put - พยากรณ์ว่าราคาจะไม่ลง
• Bull Call Spread - กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย
• Bear Put Spread - กลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย
• Calendar Spread - กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของ Time Decay
• Diagonal Spread - กลยุทธ์ที่ผสมผสาน Calendar Spread และ Vertical Spread
• Ratio Spread - กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
• Delta Neutral Strategy - กลยุทธ์ที่พยายามสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ Delta เป็นศูนย์
• Gamma Scalping - กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จาก Gamma เพื่อทำกำไร
• Volatility Trading - กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของความผันผวน

ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ European Options

การซื้อขาย European Options มีความเสี่ยงหลายประการที่นักลงทุนควรตระหนัก:

• 'Time Decay (Theta): ค่าพรีเมี่ยมของออปชั่นจะลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ
• 'Volatility Risk (Vega): การเปลี่ยนแปลงของความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงสามารถส่งผลกระทบต่อราคาของออปชั่น
• 'Interest Rate Risk (Rho): การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสามารถส่งผลกระทบต่อราคาของออปชั่น
• 'Liquidity Risk: ออปชั่นบางตัวอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการซื้อหรือขายในราคาที่ต้องการ
• 'Counterparty Risk: ความเสี่ยงที่คู่สัญญาจะไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันในสัญญา

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสำหรับ European Options

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เช่น การใช้ Moving Averages, Relative Strength Index (RSI), และ Bollinger Bands สามารถช่วยนักลงทุนในการระบุแนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้านที่อาจมีผลต่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิง และส่งผลต่อราคาของ European Options การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) สามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มหรือการกลับตัวของแนวโน้มได้

นอกจากนี้ การติดตาม Open Interest และ Volume ของออปชั่นสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของตลาดและความสนใจในการซื้อขายออปชั่นนั้นๆ

การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย European Options

• กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม: อย่าลงทุนในออปชั่นด้วยเงินจำนวนมากเกินไป
• ใช้ Stop-Loss Order: เพื่อจำกัดการขาดทุน
• Diversify Portfolio: กระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในออปชั่นที่หลากหลาย
• ทำความเข้าใจความเสี่ยง: ก่อนที่จะซื้อขายออปชั่นใดๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน
• ติดตามข่าวสาร: ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคาของสินทรัพย์อ้างอิง

สรุป

European Options เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน แต่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรหรือบริหารความเสี่ยง การทำความเข้าใจกลไกการทำงาน, ความแตกต่างจากออปชั่นประเภทอื่น, การประเมินราคา, กลยุทธ์การซื้อขาย และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการซื้อขาย European Options อย่างประสบความสำเร็จ การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดการขาดทุนได้

ออปชั่น (Options) American Options Black-Scholes Model Call Option Put Option Moving Averages Relative Strength Index (RSI) Bollinger Bands Open Interest Volume Time Decay (Theta) Volatility Risk (Vega) Long Call Short Call Long Put Short Put Bull Call Spread Bear Put Spread Calendar Spread Diagonal Spread Ratio Spread Delta Neutral Strategy Gamma Scalping Volatility Trading การบริหารความเสี่ยง กลยุทธ์การลงทุน การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย

ตัวอย่างพารามิเตอร์ที่ใช้ในการคำนวณราคา European Options ด้วย Black-Scholes Model

พารามิเตอร์	ค่า
ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง (S)	100 บาท
Strike Price (K)	105 บาท
เวลาจนถึงวันหมดอายุ (T)	0.5 ปี
อัตราดอกเบี้ยแบบไม่มีความเสี่ยง (r)	5%
ความผันผวน (σ)	20%

Black-Scholes Model การประเมินราคาออปชั่น การลงทุนในออปชั่น ไบนารี่ออปชั่น (ถึงแม้จะเป็นคนละประเภท แต่มีความเกี่ยวข้อง) การซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดทุน การเงิน การลงทุน อนุพันธ์ทางการเงิน ความเสี่ยงทางการเงิน การบริหารจัดการความเสี่ยง การวางแผนทางการเงิน การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การตลาดการเงิน เศรษฐศาสตร์

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น