การใช้แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดกลับตัวหรือทะลุผ่าน

การใช้แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดกลับตัวหรือทะลุผ่านในไบนารีออปชัน

การทำความเข้าใจและนำหลักการของ แนวรับและแนวต้าน มาใช้ในการซื้อขาย ไบนารีออปชัน เป็นหนึ่งในรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น แนวคิดนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุโซนราคาที่มีโอกาสที่ตลาดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทาง (กลับตัว) หรือการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง (ทะลุผ่าน) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจว่าจะเปิด Call option หรือ Put option

แนวรับแนวต้านเป็นแนวคิดทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่เพียงแต่ในการซื้อขายไบนารีออปชันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินอื่นๆ เช่น ฟอเร็กซ์ หรือการซื้อขายหุ้นด้วย แม้ว่าไบนารีออปชันจะมีความแตกต่างจากการซื้อขายแบบดั้งเดิมตรงที่ผลตอบแทนและผลขาดทุนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้เข้าใจ ความหมายของไบนารีออปชันและข้อแตกต่างจากฟอเร็กซ์ ได้ง่ายขึ้น แต่การคาดการณ์ทิศทางราคาก็ยังคงต้องอาศัยเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่นเดิม

แนวคิดพื้นฐานของแนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้านคือระดับราคาในอดีตที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะหยุดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนทิศทาง เมื่อราคาเคลื่อนที่เข้าใกล้ระดับเหล่านี้

แนวรับ (Support)

แนวรับคือระดับราคาที่แรงซื้อ (Demand) มีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งกว่าแรงขาย (Supply) ทำให้ราคาหยุดการปรับตัวลงและมีโอกาสที่จะดีดตัวกลับขึ้นไป

**คำจำกัดความ:** ระดับราคาที่ต่ำกว่าซึ่งมีคำสั่งซื้อจำนวนมากรออยู่
**สิ่งที่บ่งชี้:** เมื่อราคาสัมผัสแนวรับ มักจะเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal)

แนวต้าน (Resistance)

แนวต้านคือระดับราคาที่แรงขาย (Supply) มีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งกว่าแรงซื้อ (Demand) ทำให้ราคาหยุดการปรับตัวขึ้นและมีโอกาสที่จะถูกผลักกลับลงมา

**คำจำกัดความ:** ระดับราคาสูงกว่าซึ่งมีคำสั่งขายจำนวนมากรออยู่
**สิ่งที่บ่งชี้:** เมื่อราคาสัมผัสแนวต้าน มักจะเกิดการกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal)

การระบุแนวรับแนวต้าน

แนวรับแนวต้านไม่ได้เป็นเส้นราคาที่แม่นยำเพียงจุดเดียว แต่เป็น "โซน" หรือ "บริเวณ" ของราคาที่เคยมีการตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญในอดีต

**การมองหา:** ให้นักเทรดมองหาจุดที่แท่งเทียน (Candlestick) สองจุดขึ้นไป หรือมากกว่านั้น สัมผัสหรือมีการกลับตัวที่ระดับราคาใกล้เคียงกัน
**ความแข็งแกร่ง:** แนวรับ/แนวต้านที่ถูกทดสอบบ่อยครั้งและราคากลับตัวได้สำเร็จหลายครั้ง ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่า

การกลับตัว (Reversal) เทียบกับการทะลุผ่าน (Breakout)

เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน จะมีสองผลลัพธ์หลักที่นักเทรดไบนารีออปชันต้องประเมิน คือ การกลับตัว หรือ การทะลุผ่าน

การกลับตัว (Reversal)

หมายถึงการที่ราคาไม่สามารถผ่านระดับนั้นไปได้ และเปลี่ยนทิศทางกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม การกลับตัวมักใช้เป็นสัญญาณในการเปิดออปชันตรงกันข้ามกับทิศทางเดิม

**สัญญาณกลับตัวที่แนวต้าน:** เปิด Put option (คาดว่าราคาจะลง)
**สัญญาณกลับตัวที่แนวรับ:** เปิด Call option (คาดว่าราคาจะขึ้น)

การทะลุผ่าน (Breakout)

หมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่ผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านไปอย่างมีนัยสำคัญ การทะลุผ่านมักบ่งชี้ว่าแรงผลักดันในทิศทางนั้นมีความแข็งแกร่ง และอาจนำไปสู่การเกิด แนวโน้ม ใหม่หรือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว

**สัญญาณทะลุผ่านแนวต้าน:** เปิด Call option (คาดว่าราคาจะขึ้นต่อไป)
**สัญญาณทะลุผ่านแนวรับ:** เปิด Put option (คาดว่าราคาจะลงต่อไป)

ขั้นตอนการวิเคราะห์และการหาจุดเข้าซื้อขาย

การใช้แนวรับแนวต้านในไบนารีออปชันต้องอาศัยการสังเกตอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการกำหนด Expiry time ที่เหมาะสมกับความผันผวนหลังการเกิดเหตุการณ์ที่แนวรับ/แนวต้าน

ขั้นตอนที่ 1: การกำหนดกรอบเวลาและระบุแนวรับแนวต้านหลัก

เลือกกรอบเวลาที่คุณต้องการวิเคราะห์ (เช่น 5 นาที, 15 นาที) สำหรับไบนารีออปชันระยะสั้นถึงกลาง
มองภาพรวมของกราฟเพื่อระบุระดับราคาสำคัญในอดีตที่ราคามีการตอบสนองซ้ำๆ
วาดเส้นแนวนอน (หรือโซน) ที่ระดับราคาเหล่านั้นเพื่อกำหนดแนวรับและแนวต้านหลัก

ขั้นตอนที่ 2: การประเมินความแข็งแกร่งของระดับราคา

นักเทรดต้องตรวจสอบว่าระดับราคานั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด โดยดูจากปัจจัยเหล่านี้

**จำนวนครั้งที่ถูกทดสอบ:** ยิ่งถูกทดสอบหลายครั้ง ยิ่งแข็งแกร่ง
**ความถี่:** การทดสอบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันในระยะเวลาสั้นๆ อาจบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของระดับนั้น
**ปริมาณการซื้อขาย (ถ้ามีข้อมูล):** หากระดับนั้นถูกทดสอบพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูง มักจะมีความสำคัญมาก

ขั้นตอนที่ 3: การรอสัญญาณยืนยัน (Confirmation)

การเข้าซื้อขายทันทีที่ราคาแตะแนวรับ/แนวต้านมีความเสี่ยงสูง เพราะอาจเกิดการทะลุผ่านทันที นักเทรดควรใช้เครื่องมือเสริม เช่น รูปแบบแท่งเทียน หรืออินดิเคเตอร์ เพื่อยืนยัน

**การยืนยันการกลับตัว:** รอให้แท่งเทียนปิดตัวลง (หรือขึ้นไป) โดยมีไส้เทียนยาวแสดงการปฏิเสธราคา ณ ระดับนั้น หรือรอให้เกิด รูปแบบแท่งเทียนพื้นฐานที่ควรรู้สำหรับผู้เริ่มต้น เช่น Hammer หรือ Shooting Star
**การยืนยันการทะลุผ่าน:** รอให้แท่งเทียนปิดตัวลงอย่างชัดเจน 'เหนือ' แนวต้าน หรือ 'ต่ำกว่า' แนวรับ โดยมีขนาดของแท่งเทียนที่ใหญ่กว่าปกติ

ขั้นตอนที่ 4: การตัดสินใจเข้าซื้อขายและบริหารความเสี่ยง

หลังจากได้รับสัญญาณยืนยันแล้ว จึงตัดสินใจเปิดออปชัน โดยต้องคำนึงถึง การบริหารความเสี่ยง เสมอ

**สำหรับการกลับตัว:** หากคาดว่าจะกลับตัว ให้เปิดออปชันในทิศทางตรงกันข้ามกับแรงผลักดันที่เข้ามากระทบแนวรับ/แนวต้าน
**สำหรับการทะลุผ่าน:** หากคาดว่าจะทะลุผ่าน ให้เปิดออปชันในทิศทางเดียวกับการทะลุผ่าน

การกำหนด ขนาดของตำแหน่ง และ Expiry time เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขายไบนารีออปชัน เมื่อเกิดการทะลุผ่านที่รวดเร็ว อาจต้องใช้ Expiry time ที่สั้นกว่าการกลับตัวที่มักจะใช้เวลาสร้างฐานราคาใหม่

การประยุกต์ใช้แนวรับแนวต้านร่วมกับเครื่องมืออื่น

แนวรับแนวต้านทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์

การใช้ร่วมกับแนวโน้ม (Trend)

แนวรับแนวต้านจะมีความหมายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ แนวโน้ม โดยรวมของตลาด

**ในแนวโน้มขาขึ้น:** แนวรับมีความสำคัญมากกว่าแนวต้าน เพราะตลาดมีโอกาสที่จะดีดตัวจากแนวรับเพื่อไปทำจุดสูงสุดใหม่
**ในแนวโน้มขาลง:** แนวต้านมีความสำคัญมากกว่าแนวรับ เพราะตลาดมีโอกาสที่จะถูกผลักลงจากแนวต้านเพื่อไปทำจุดต่ำสุดใหม่

หากราคาเคลื่อนที่เข้าสู่แนวรับในขณะที่ตลาดเป็นแนวโน้มขาขึ้น โอกาสเกิดการกลับตัวขึ้น (Call) จะสูงกว่าการทะลุลง

การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ (Indicators)

อินดิเคเตอร์สามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับแนวต้านได้

**RSI (Relative Strength Index):** หากราคาเข้าใกล้แนวต้าน และ RSI อยู่ในโซนซื้อมากเกินไป (Overbought) โอกาสเกิดการกลับตัวลง (Put) จะสูงขึ้น
**MACD:** การตัดกันของเส้น MACD พร้อมกับการที่ราคาแตะแนวรับ/แนวต้าน สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้สัญญาณได้

การใช้ร่วมกับแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก

แนวรับแนวต้านไม่ได้มีแค่เส้นคงที่เท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบที่เคลื่อนไหวตามราคา เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือระดับ Fibonacci

**Fibonacci Retracement:** ระดับ Fibonacci (เช่น 38.2%, 50%, 61.8%) มักทำหน้าที่เป็นแนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก หากระดับ Fibonacci ตรงกับแนวรับ/แนวต้านที่วาดด้วยมือ โซนนั้นจะถือว่าแข็งแกร่งมาก การใช้ การใช้ Fibonacci ในการซื้อขาย ร่วมกับ S/R จึงเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม

ตารางสรุปการตัดสินใจซื้อขายโดยใช้ S/R

นี่คือตัวอย่างการตัดสินใจเบื้องต้นเมื่อราคามาถึงระดับแนวรับหรือแนวต้าน โดยสมมติว่าใช้กรอบเวลา 1 นาที และตั้ง Expiry time ไว้ที่ 5 นาที

สถานการณ์	ทิศทางตลาดปัจจุบัน	สัญญาณที่รอ	การตัดสินใจ (Binary Option)
ราคาแตะแนวต้าน !! แนวโน้มขาขึ้นอ่อนแรง !! แท่งเทียนกลับตัวลง (Bearish) !! เปิด Put Option
ราคาแตะแนวต้าน !! แนวโน้มขาขึ้นแข็งแกร่ง !! แท่งเทียนปิดทะลุเหนือแนวต้าน !! เปิด Call Option
ราคาแตะแนวรับ !! แนวโน้มขาลงอ่อนแรง !! แท่งเทียนกลับตัวขึ้น (Bullish) !! เปิด Call Option
ราคาแตะแนวรับ !! แนวโน้มขาลงแข็งแกร่ง !! แท่งเทียนปิดทะลุต่ำกว่าแนวรับ !! เปิด Put Option

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่าแนวรับแนวต้านจะเป็นเครื่องมือพื้นฐาน แต่การนำไปใช้จริงในไบนารีออปชันก็มีกับดักที่นักเทรดมือใหม่ควรระวัง

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

**การซื้อขายที่แนวรับ/แนวต้านมากเกินไป:** การพยายามเทรดทุกครั้งที่ราคาแตะระดับเหล่านี้โดยไม่มีการยืนยันที่ชัดเจน
**การมองข้ามการเปลี่ยนบทบาท:** ลืมไปว่าเมื่อแนวต้านถูกทะลุผ่านอย่างแข็งแกร่ง มันจะกลายเป็นแนวรับใหม่ และในทางกลับกัน นี่คือหลักการสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอ
**การใช้ Timeframe ผิด:** การใช้แนวรับ/แนวต้านที่วาดจากกราฟรายวัน เพื่อตัดสินใจซื้อขายไบนารีออปชันที่มี Expiry time เพียง 1 นาที อาจทำให้เกิดสัญญาณที่คลาดเคลื่อนได้ ควรให้ความสำคัญกับแนวรับ/แนวต้านในกรอบเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาหมดอายุ
**การละเลยปัจจัยภายนอก:** การไม่สนใจข่าวสารสำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้เกิดการทะลุผ่านแนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่งอย่างรุนแรง (ดูเพิ่มเติมที่ การใช้ข่าวเศรษฐกิจในการเทรด)

ความเสี่ยงในการใช้แนวรับแนวต้าน

ความเสี่ยงหลักคือการเข้าซื้อขายผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการทะลุผ่าน (Fakeout หรือ False Breakout)

**False Breakout:** ราคาพยายามทะลุผ่านระดับสำคัญ แต่ล้มเหลวและกลับตัวอย่างรวดเร็ว หากนักเทรดเปิดออปชันตามทิศทางการทะลุผ่าน อาจทำให้เกิด Out-of-the-money ทันที
**การขาดทุน:** ในไบนารีออปชัน การขาดทุนหมายถึงการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดของออปชันนั้นๆ ดังนั้น การใช้กลยุทธ์ที่เน้นการยืนยันสัญญาณ (เช่น รอแท่งเทียนปิด) จึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้

การจัดการความเสี่ยงและการบันทึกผล

นักเทรดควรฝึกฝน การควบคุมอารมณ์และความมีวินัยในการเทรด และบันทึกผลการซื้อขายทุกครั้ง

**การใช้ สมุดบันทึกการเทรด:** บันทึกว่าคุณเข้าซื้อขายเพราะเหตุผลใด (เช่น แนวรับที่ถูกทดสอบ 3 ครั้ง) และผลลัพธ์เป็นอย่างไร เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์
**การจำกัดการลงทุนต่อครั้ง:** ไม่ควรลงทุนเกิน 1-5% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าการขาดทุนจากการทะลุผ่านที่ไม่คาดคิดจะไม่ทำลายบัญชีของคุณ

การฝึกฝนและการทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) อย่างง่าย

ก่อนนำไปใช้กับเงินจริง นักเทรดควรทดสอบกลยุทธ์แนวรับแนวต้านบนบัญชีทดลอง (Demo Account) หรือโดยการย้อนดูข้อมูลในอดีต

**เลือกสินทรัพย์:** เลือกสินทรัพย์ที่คุณคุ้นเคย เช่น EUR/USD หรือคู่เงินที่มีความผันผวนปานกลาง
**กำหนดกฎ:** กำหนดกฎที่ชัดเจน เช่น "ฉันจะเปิด Call ก็ต่อเมื่อราคาสัมผัสแนวรับที่ถูกทดสอบมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง และเกิดแท่งเทียน Bullish Engulfing"
**ย้อนดู:** เลื่อนดูกราฟย้อนหลัง 100 แท่งเทียน และบันทึกผลลัพธ์ทุกครั้งที่เข้าตามกฎ
**ประเมิน:** คำนวณอัตราความสำเร็จ (Win Rate) หากอัตราความสำเร็จสูงกว่า 55-60% (เมื่อรวมกับ Payout ที่ดี) กลยุทธ์นั้นอาจมีศักยภาพในการทำกำไร

การทำความเข้าใจแนวรับแนวต้านช่วยให้คุณมองเห็น "โครงสร้าง" ของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการหาจุดเข้าซื้อขาย Call option หรือ Put option ที่มีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่เพียงการคาดเดาเท่านั้น

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การใช้แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดกลับตัวหรือทะลุผ่าน

Contents