การเลือกเวลาหมดอายุและระดับราคาใช้สิทธิ

การเลือกเวลาหมดอายุและระดับราคาใช้สิทธิในไบนารี่ออปชัน

การซื้อขาย Binary option นั้นแตกต่างจากการซื้อขายแบบดั้งเดิมอย่างมาก เนื่องจากผลลัพธ์ของมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการที่ผู้ซื้อขายต้องกำหนดอย่างแม่นยำ นั่นคือ **เวลาหมดอายุ (Expiry Time)** และ **ระดับราคาใช้สิทธิ (Strike Price)** การทำความเข้าใจและเลือกสององค์ประกอบนี้อย่างมีกลยุทธ์เป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และเป็นสิ่งที่แยกผู้เริ่มต้นออกจากผู้มีประสบการณ์

บทความนี้จะอธิบายถึงความหมาย วิธีการเลือก และข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับเวลาหมดอายุและระดับราคาใช้สิทธิในบริบทของการเทรดไบนารี่ออปชัน

ความเข้าใจพื้นฐานของไบนารี่ออปชัน

ก่อนจะลงลึกในรายละเอียดของการเลือกเวลาและราคา เราต้องทบทวนก่อนว่า Binary option คืออะไร โดยพื้นฐานแล้ว มันคือสัญญาทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนคงที่ (หรือเป็นศูนย์) หากเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นจริงเมื่อสัญญาหมดอายุ ผู้ซื้อขายจะต้องคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์) จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง (ขึ้นหรือลง) เมื่อเทียบกับราคา ณ เวลาที่ทำสัญญา

หากการคาดการณ์ถูกต้อง สัญญาจะกลายเป็น In-the-money และผู้ซื้อขายจะได้รับ Payout ตามที่ตกลงไว้ หากผิดพลาด สัญญาจะกลายเป็น Out-of-the-money และผู้ซื้อขายจะสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้น นี่คือความแตกต่างที่สำคัญจากตลาดอื่น เช่น นิยามและการเปรียบเทียบไบนารี่ออปชันกับฟอเร็กซ์ ซึ่งการขาดทุนอาจเกินเงินลงทุนเริ่มต้น

เวลาหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time หรือเวลาหมดอายุ คือระยะเวลาที่สัญญาไบนารี่ออปชันจะคงอยู่ก่อนที่จะถูกตัดสินว่าชนะหรือแพ้ การเลือกช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันกำหนดความถี่ของการซื้อขายและระดับความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

ความหมายของเวลาหมดอายุ

เวลาหมดอายุคือจุดสิ้นสุดของสัญญา ซึ่งราคาของสินทรัพย์จะถูกตรวจสอบเพื่อตัดสินผลลัพธ์ หากคุณซื้อ Call option โดยคาดว่าราคาจะสูงขึ้น และเมื่อถึงเวลาหมดอายุ ราคาสูงกว่าราคาเริ่มต้นจริง สัญญาจะชนะ

ประเภทของเวลาหมดอายุ

แพลตฟอร์มการซื้อขายไบนารี่ออปชันมักนำเสนอช่วงเวลาหมดอายุที่หลากหลาย ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามความเร็วในการซื้อขาย:

**Turbo/Binary Options (สั้นมาก):** ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็วและผู้ที่เชี่ยวชาญในการอ่านการเคลื่อนไหวของราคาแบบทันที
**Short-Term Options (ระยะสั้น):** ตั้งแต่ 10 นาที ถึง 1 ชั่วโมง มักใช้เพื่อจับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่เกิดจากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ
**Long-Term Options (ระยะยาว):** ตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ใช้การวิเคราะห์ **Trend** ในระยะยาว

การเลือกเวลาหมดอายุตามกลยุทธ์

การเลือกเวลาหมดอายุควรสอดคล้องกับเครื่องมือวิเคราะห์และรูปแบบการซื้อขายที่คุณใช้ นี่คือแนวทางปฏิบัติ:

**การเทรดตาม Trend (แนวโน้ม):** หากคุณวิเคราะห์กราฟรายชั่วโมงหรือรายวันเพื่อระบุแนวโน้มที่แข็งแกร่ง คุณควรเลือกเวลาหมดอายุที่ยาวนานกว่า (เช่น 1 ชั่วโมงขึ้นไป) เพื่อให้แนวโน้มมีเวลาเพียงพอที่จะแสดงผลอย่างชัดเจน
**การเทรดตาม Support and resistance และรูปแบบกราฟ:** หากคุณใช้ Candlestick pattern (เช่น รูปแบบการกลับตัว) บนกราฟ 5 นาที คุณอาจเลือกเวลาหมดอายุที่ 10 หรือ 15 นาที เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์
**การเทรดตามตัวชี้วัด (Indicators):**

   *   หากใช้ตัวชี้วัดที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น MACD ในกรอบเวลาสั้น อาจใช้เวลาหมดอายุ 5-15 นาที
   *   หากใช้ตัวชี้วัดที่เน้นแนวโน้ม เช่น RSI ในกรอบเวลาที่ยาวขึ้น อาจใช้เวลาหมดอายุที่นานขึ้น

ข้อควรระวังเกี่ยวกับเวลาหมดอายุ

**ความผันผวน (Volatility):** ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง (เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ) การใช้เวลาหมดอายุที่สั้นมากอาจเป็นอันตราย เพราะราคาอาจแกว่งตัวอย่างรุนแรงและทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดได้ง่าย
**ค่าธรรมเนียมและเวลาในการประมวลผล:** แม้ว่าไบนารี่ออปชันจะไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายโดยตรงเหมือนฟอเร็กซ์ แต่การเทรดบ่อยครั้งในระยะสั้นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายรวม (ผ่านการลงทุนซ้ำๆ) สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
**ความเครียดทางจิตใจ:** การเทรดระยะสั้นต้องการสมาธิสูงมาก และอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า ผลกระทบของอารมณ์ต่อการตัดสินใจซื้อขาย ได้ง่ายกว่า

**ตารางเปรียบเทียบเวลาหมดอายุเบื้องต้น**

กรอบเวลาวิเคราะห์	เวลาหมดอายุที่แนะนำ	ลักษณะการซื้อขาย
1 นาที / 5 นาที	1 - 5 นาที	เน้นการตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวฉับพลัน
15 นาที / 30 นาที	15 - 30 นาที	ใช้ร่วมกับ Candlestick pattern และการยืนยัน
1 ชั่วโมงขึ้นไป	1 ชั่วโมงขึ้นไป	เน้นการจับ Trend และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

ระดับราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ระดับราคาใช้สิทธิ (หรือราคาออกกำลัง, ราคาตัดสิน) คือระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลาที่คุณเข้าทำสัญญา ซึ่งจะเป็นจุดอ้างอิงในการตัดสินว่าสัญญาของคุณจะ **In-the-money** หรือ **Out-of-the-money** เมื่อถึงเวลาหมดอายุ

ความหมายของระดับราคาใช้สิทธิ

ในไบนารี่ออปชันแบบ "สูง/ต่ำ" (High/Low) ระดับราคาใช้สิทธิคือราคาตลาดของสินทรัพย์ในขณะที่คุณกดปุ่มซื้อขาย

ถ้าคุณซื้อ Call option (คาดว่าราคาจะขึ้น) คุณต้องการให้ราคา ณ เวลาหมดอายุ **สูงกว่า** ระดับราคาใช้สิทธิ
ถ้าคุณซื้อ Put option (คาดว่าราคาจะลง) คุณต้องการให้ราคา ณ เวลาหมดอายุ **ต่ำกว่า** ระดับราคาใช้สิทธิ

ความสัมพันธ์กับประเภทของไบนารี่ออปชัน

ในไบนารี่ออปชันแบบมาตรฐาน (High/Low) ระดับราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดโดยแพลตฟอร์มโดยอัตโนมัติ ณ เวลาที่คุณส่งคำสั่งซื้อขาย อย่างไรก็ตาม บางแพลตฟอร์มอาจเสนอตัวเลือกที่ซับซ้อนกว่า เช่น "Touch/No Touch" หรือ "Range Options" ซึ่งระดับราคาใช้สิทธิมีความสำคัญต่างออกไป

1. การเทรดแบบ High/Low (มาตรฐาน)

สำหรับประเภทนี้ สิ่งที่คุณควบคุมได้คือ "ราคาปัจจุบัน" ที่คุณใช้เป็นฐานในการคาดการณ์ การเลือกราคาใช้สิทธิในบริบทนี้จึงหมายถึงการเลือก **จังหวะเวลา (Timing)** ที่จะเข้าซื้อขาย

**หลักการ:** หากคุณคาดการณ์การกลับตัว ณ ระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง คุณต้องเข้าซื้อขายทันทีที่ราคาแตะระดับนั้น เพื่อให้ราคาปัจจุบันทำหน้าที่เป็นระดับราคาใช้สิทธิที่ดีที่สุดของคุณ

2. การเทรดแบบ Touch/No Touch (แตะ/ไม่แตะ)

ในตัวเลือกประเภทนี้ คุณจะกำหนดระดับราคาเป้าหมาย (Strike Price) ล่วงหน้า และแพลตฟอร์มจะบอกคุณว่าคุณจะชนะหรือไม่ หากราคาสินทรัพย์แตะระดับราคานั้นก่อนหมดอายุ

**การเลือก Strike Price:** คุณต้องวิเคราะห์ว่าราคาจะไปถึงระดับที่กำหนดหรือไม่ หากคุณคาดว่าราคาจะวิ่งแรง คุณอาจเลือก Strike Price ที่ไกลออกไป (ซึ่งมักให้ Payout ที่สูงกว่า แต่ความเสี่ยงในการไม่ถึงก็สูงขึ้น)

การใช้ระดับราคาใช้สิทธิร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เรากำหนด "จุดที่น่าจะเกิดการกลับตัวหรือไปต่อ" ซึ่งจุดเหล่านี้จะถูกใช้เป็นระดับราคาใช้สิทธิโดยอ้อมในการเทรดแบบ High/Low หรือเป็นระดับเป้าหมายในการเทรดแบบ Touch/No Touch

**Support and resistance (แนวรับ/แนวต้าน):**

   *   **การเข้าซื้อ Call Option:** รอให้ราคาลงมาแตะระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง แล้วเข้าซื้อทันที (ราคาปัจจุบันคือ Strike Price)
   *   **การเข้าซื้อ Put Option:** รอให้ราคาขึ้นไปชนระดับแนวต้านที่แข็งแกร่ง แล้วเข้าซื้อทันที

**การใช้ตัวชี้วัดเพื่อยืนยัน:**

   *   หาก RSI บ่งชี้ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ที่ระดับแนวต้าน คุณจะมั่นใจในการเข้า Put Option มากขึ้น เพราะคุณคาดว่าราคาจะกลับตัวลงจากระดับนั้น
   *   หาก Bollinger Bands บ่งชี้ว่าราคาแตะขอบด้านนอกของแถบ และคุณคาดว่าราคาจะกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย คุณสามารถใช้จุดนั้นเป็น Strike Price ในการเทรดระยะสั้น

การประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน

การเลือก Strike Price และ Expiry Time มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คุณจะได้รับ (แม้ว่าในไบนารี่ออปชัน ผลตอบแทนจะค่อนข้างคงที่ แต่ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นก็แตกต่างกันไปตามความยากง่ายของการบรรลุเงื่อนไข)

**Strike Price ที่ใกล้เคียงราคาปัจจุบัน:** ทำให้การทำนายง่ายขึ้น (โอกาสชนะสูงขึ้น) แต่ Payout มักจะต่ำกว่า
**Strike Price ที่ไกลจากราคาปัจจุบัน (เช่น ในการเทรด Touch/No Touch):** ทำให้การทำนายยากขึ้น (โอกาสชนะต่ำลง) แต่ Payout มักจะสูงกว่า

การบริหารความเสี่ยงที่ดีคือการไม่ไล่ตามอัตราการจ่ายที่สูงเกินไป แต่ให้เน้นที่ความน่าจะเป็นของการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับ การบริหารความเสี่ยงในการวางขนาดตำแหน่ง

ขั้นตอนการเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิ (Checklist สำหรับผู้เริ่มต้น)

การซื้อขายไบนารี่ออปชันต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ นี่คือขั้นตอนที่คุณควรทำก่อนเปิดคำสั่งซื้อขายใดๆ:

ขั้นตอนที่ 1: การวิเคราะห์แนวโน้มและกรอบเวลาหลัก

ตรวจสอบ Trend ในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (เช่น 4 ชั่วโมง หรือ รายวัน) เพื่อกำหนดทิศทางหลักของตลาด
เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการเทรด (ดู การเลือกสินทรัพย์ในการเทรด)

ขั้นตอนที่ 2: การกำหนดกลยุทธ์และกรอบเวลาการเทรด

ตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์ใด (เช่น การกลับตัวที่แนวรับ/แนวต้าน หรือการตามแนวโน้ม)
เลือกกรอบเวลาในการวิเคราะห์ (เช่น 5 นาที) เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ
เลือก Expiry time ที่เหมาะสมกับกรอบเวลาวิเคราะห์ (เช่น หากวิเคราะห์ 5 นาที อาจเลือก Expiry 10 หรือ 15 นาที)

ขั้นตอนที่ 3: การระบุระดับราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

หากใช้กลยุทธ์กลับตัว ให้ระบุระดับ Support and resistance ที่ชัดเจน
รอให้ราคาเคลื่อนไหวมาถึงระดับที่กำหนด
ตรวจสอบตัวชี้วัดเพิ่มเติม (เช่น MACD หรือ RSI) เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว ณ ระดับราคานั้น
เมื่อราคาแตะระดับที่ต้องการ ให้ดำเนินการเปิดคำสั่ง Call option หรือ Put option ทันที โดยราคาปัจจุบันจะทำหน้าที่เป็นระดับราคาใช้สิทธิของคุณ

ขั้นตอนที่ 4: การจัดการคำสั่งซื้อขายและการบันทึก

กำหนดจำนวนเงินลงทุนตามหลัก การบริหารความเสี่ยงในการวางขนาดตำแหน่ง (ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรด)
ยืนยัน Expiry Time และราคาใช้สิทธิ (ราคาปัจจุบัน) อีกครั้งก่อนกดซื้อ
บันทึกผลการเทรดทั้งหมดลงใน Trading journal เพื่อประเมินว่าการเลือกเวลาหมดอายุนั้นเหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณหรือไม่

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิ

ผู้เริ่มต้นมักประสบปัญหาในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการเลือกสองปัจจัยนี้ไม่สอดคล้องกับสภาวะตลาด

**การเลือกเวลาหมดอายุที่สั้นเกินไป (Over-trading on Short Expiries):** การเทรด 30 วินาที หรือ 1 นาที มักถูกขับเคลื่อนด้วยสัญญาณรบกวน (Noise) ของตลาดมากกว่าแนวโน้มที่แท้จริง ทำให้โอกาสชนะลดลงอย่างมาก เว้นแต่คุณจะมีระบบการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ที่ซับซ้อนมาก
**การไม่สอดคล้องระหว่างกรอบเวลา:** การวิเคราะห์ Trend ในกราฟรายวัน แต่เลือกเวลาหมดอายุเพียง 5 นาที เป็นการกระทำที่ขัดแย้งกัน เพราะแนวโน้มระยะยาวไม่สามารถแสดงผลในระยะเวลาอันสั้นได้
**การเพิกเฉยต่อข่าว:** การเทรดในช่วงเวลาที่ประกาศข่าวสำคัญ (เช่น Non-Farm Payrolls) โดยใช้เวลาหมดอายุสั้นๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก เนื่องจากราคาจะเคลื่อนไหวแบบพุ่งกระชาก (Spike) ซึ่งยากต่อการคาดเดา
**การมองข้ามความซับซ้อนของ Touch Options:** ในการเทรดแบบ Touch/No Touch ผู้ซื้อขายมักเลือก Strike Price ที่ "ดูดี" โดยไม่พิจารณาว่าความแข็งแกร่งของแนวรับ/แนวต้านนั้นๆ จะสามารถต้านทานแรงซื้อขายได้นานพอที่จะทำให้ราคาไปถึงเป้าหมายหรือไม่

การประเมินผลและการปรับปรุง (Backtesting Idea) =

การปรับปรุงการเลือกเวลาหมดอายุและระดับราคาใช้สิทธิทำได้ผ่านการทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) อย่างเป็นระบบ

**การทดสอบความสอดคล้อง:** เลือกกลยุทธ์เดียว (เช่น การกลับตัวที่แนวรับ 5 นาที)
**การทดสอบตัวแปรเวลา:** ลองใช้ Expiry Time ที่แตกต่างกัน (เช่น 5 นาที, 10 นาที, 15 นาที) กับชุดข้อมูลย้อนหลังเดียวกัน
**การบันทึกผลลัพธ์:** บันทึกว่า Expiry Time ใดให้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูงสุด (Win Rate) สำหรับกลยุทธ์นั้นๆ
**การปรับปรุงระดับราคา:** หากคุณใช้กลยุทธ์แนวรับ/แนวต้าน ให้บันทึกว่าการเข้าซื้อขายเมื่อราคา "แตะ" แนวรับพอดี กับการเข้าซื้อขายเมื่อราคา "ทะลุลงไปเล็กน้อยแล้วกลับตัว" ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร

การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสร้างกฎการเข้าและออกที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น และลดการพึ่งพาการตัดสินใจตามอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดระยะยาว

สรุป

การเลือก Expiry time และการกำหนดระดับราคาใช้สิทธิ (ไม่ว่าจะโดยการเลือกจังหวะเวลาเข้าตลาด หรือการกำหนดระดับเป้าหมาย) คือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในโลกของ Binary option ผู้ซื้อขายที่ประสบความสำเร็จจะจับคู่ความเร็วของการเทรด (เวลาหมดอายุ) ให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาดและเครื่องมือวิเคราะห์ที่ตนเองใช้เสมอ การฝึกฝนการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ (ซึ่งจะกลายเป็น Strike Price ที่ดี) ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด จะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนการคาดเดาให้เป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การเลือกเวลาหมดอายุและระดับราคาใช้สิทธิ

Contents