การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และโครงสร้างการจ่ายเงิน

การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และโครงสร้างการจ่ายเงินในไบนารีออปชัน

ไบนารีออปชัน (Binary Option หรือ BO) เป็นรูปแบบการลงทุนที่เรียบง่ายแต่ต้องอาศัยความเข้าใจในองค์ประกอบสำคัญสามประการ ได้แก่ การเลือกสินทรัพย์อ้างอิง (Asset Selection), การกำหนด เวลาหมดอายุ, และความเข้าใจใน โครงสร้างการจ่ายเงิน บทความนี้จะแนะนำผู้เริ่มต้นให้เข้าใจหลักการเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างมั่นคง

1. การเลือกสินทรัพย์ (Asset Selection)

สินทรัพย์อ้างอิงในไบนารีออปชันคือสิ่งที่กำหนดว่าราคาจะขึ้นหรือลง ซึ่งโดยทั่วไปจะคล้ายกับที่ซื้อขายในตลาดการเงินอื่น ๆ เช่น ฟอเร็กซ์ (Forex) หรือตลาดหุ้น แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ๆ เพียงแค่คาดการณ์ทิศทางราคาในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ความแตกต่างนี้สำคัญมาก

สินทรัพย์หลัก ๆ ที่มีให้เลือก ได้แก่:

**คู่สกุลเงิน (Forex):** เช่น EUR/USD, GBP/JPY เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและมีสภาพคล่องมากที่สุด
**ดัชนี (Indices):** เช่น S&P 500, NASDAQ เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นขนาดใหญ่
**สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities):** เช่น ทองคำ (Gold), น้ำมัน (Oil)
**หุ้น (Stocks):** หุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ (มักจะจำกัดเฉพาะตลาดต่างประเทศ)

การเลือกสินทรัพย์สำหรับผู้เริ่มต้น:

เริ่มต้นด้วยสินทรัพย์ที่มีความผันผวนปานกลาง เช่น คู่สกุลเงินหลัก (Majors)
เลือกสินทรัพย์ที่คุณคุ้นเคยกับข่าวสารหรือปัจจัยพื้นฐาน เช่น หากคุณติดตามข่าวเศรษฐกิจยุโรป การเทรด EUR/USD อาจเป็นทางเลือกที่ดี
ตรวจสอบตารางเวลาทำการของสินทรัพย์นั้น ๆ บนแพลตฟอร์มของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถวิเคราะห์และซื้อขายในช่วงเวลาที่เหมาะสม

2. การทำความเข้าใจโครงสร้างการจ่ายเงิน (Payout Structure)

ในไบนารีออปชัน ผลตอบแทนมีความชัดเจนและตายตัว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิม

หลักการพื้นฐาน:

เมื่อคุณเปิดสถานะ ซื้อ (Call) หรือ ขาย (Put) แพลตฟอร์มจะแสดงอัตรา การจ่ายเงิน เป็นเปอร์เซ็นต์ (เช่น 70% ถึง 95%)
หากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง (สถานะเป็น In-the-money (ITM)) คุณจะได้รับเงินลงทุนคืน พร้อมกับกำไรตามเปอร์เซ็นต์ที่ระบุ
หากการคาดการณ์ผิดพลาด (สถานะเป็น Out-of-the-money (OTM)) คุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในสถานะนั้น

ตารางตัวอย่างโครงสร้างการจ่ายเงิน:

สินทรัพย์	อัตราการจ่ายเงิน	หากลงทุน 100 บาท (ถูก)	หากลงทุน 100 บาท (ผิด)
EUR/USD	85%	ได้รับ 185 บาท (ทุนคืน 100 + กำไร 85)	สูญเสีย 100 บาท
ทองคำ	78%	ได้รับ 178 บาท (ทุนคืน 100 + กำไร 78)	สูญเสีย 100 บาท

สิ่งสำคัญคือต้องระลึกว่า อัตราการจ่ายเงินนี้จะผันผวนตามสภาวะตลาดและเวลาที่เหลืออยู่ก่อนหมดอายุ หากตลาดมีความผันผวนสูงหรือเป็นช่วงนอกเวลาทำการหลัก อัตราการจ่ายเงินอาจลดลง

3. การกำหนดเวลาหมดอายุ (Expiry Time Selection)

เวลาหมดอายุ คือระยะเวลาที่คุณคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการ การเลือกช่วงเวลานี้เป็นหัวใจสำคัญของการซื้อขาย Binary option เพราะมันกำหนดว่าการวิเคราะห์ของคุณจะถูกตัดสินเมื่อใด

ประเภทของเวลาหมดอายุ:

**เทรดระยะสั้นมาก (Turbo/Flash Trading):** 30 วินาที ถึง 5 นาที เหมาะสำหรับการจับการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความเสี่ยงสูงมาก และต้องใช้ความแม่นยำสูงในการวิเคราะห์ เครื่องมือทางเทคนิค
**เทรดระยะสั้น (Short Term):** 5 นาที ถึง 30 นาที เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว
**เทรดระยะกลาง (Standard Term):** 1 ชั่วโมง ถึง 1 วัน เหมาะสำหรับการเทรดตาม แนวโน้ม ที่ชัดเจน

หลักการเชื่อมโยงการวิเคราะห์กับเวลาหมดอายุ:

การเลือกเวลาหมดอายุต้องสอดคล้องกับกรอบเวลาที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ (Timeframe)

**การวิเคราะห์ด้วย แท่งเทียน (เช่น Hammer, Doji):** หากคุณใช้แท่งเทียน 5 นาที คุณควรเลือกเวลาหมดอายุที่ยาวกว่าแท่งเทียนนั้นอย่างน้อย 1-2 เท่า (เช่น หมดอายุ 10-15 นาที) เพื่อให้มีเวลาสำหรับราคาที่จะยืนยันรูปแบบ
**การวิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน:** หากคุณเห็นแนวรับที่แข็งแกร่งมาก คุณอาจเลือกเวลาหมดอายุที่ยาวขึ้น (เช่น 30 นาที หรือมากกว่า) เพื่อให้มั่นใจว่าราคามีเวลาดีดตัวกลับ
**การวิเคราะห์ แนวโน้ม (Trend Following):** หากคุณเชื่อว่า แนวโน้ม หลักจะดำเนินต่อไปอีกหลายชั่วโมง คุณควรเลือกเวลาหมดอายุที่ยาวกว่า (เช่น 1 ชั่วโมงขึ้นไป)

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเลือก Expiry Time:

การใช้เวลาหมดอายุที่สั้นเกินไปเมื่อใช้การวิเคราะห์ในกรอบเวลาที่ใหญ่ (เช่น ดูภาพรวมรายชั่วโมง แต่เทรด 1 นาที)
การเลือกเวลาหมดอายุที่สั้นมาก (เช่น 30 วินาที) โดยไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ซึ่งมักจะกลายเป็นการพนัน

4. การประยุกต์ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค

ในการตัดสินใจว่าจะเปิด Call option หรือ Put option คุณต้องมีเหตุผลในการคาดการณ์ทิศทางราคา เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เรามีเหตุผลเหล่านั้น

4.1 แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับและแนวต้านเปรียบเสมือน "พื้น" และ "เพดาน" ของราคา

**แนวรับ (Support):** ระดับราคาที่คาดว่าแรงซื้อจะเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งไม่ให้ราคาตกลงไปกว่านี้
**แนวต้าน (Resistance):** ระดับราคาที่คาดว่าแรงขายจะเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งไม่ให้ราคาขึ้นไปกว่านี้

การใช้งานใน BO:

หากราคาลงมาถึงแนวรับที่แข็งแกร่ง และมี รูปแบบแท่งเทียน ที่บ่งชี้การกลับตัว (เช่น Bullish Engulfing) คุณอาจพิจารณาเปิด Call option
หากราคาชนแนวต้านที่แข็งแกร่ง และเกิดรูปแบบที่บ่งบอกถึงการอ่อนแรงของขาขึ้น คุณอาจพิจารณาเปิด Put option

ข้อควรระวัง: แนวรับแนวต้านที่ถูกทดสอบบ่อยครั้งจะแข็งแกร่งกว่า แต่หากถูกทะลุ (Breakout) ก็อาจเป็นสัญญาณการเริ่มต้น แนวโน้ม ใหม่ได้

4.2 ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Indicators)

ตัวชี้วัดช่วยให้เราเข้าใจโมเมนตัมและความแข็งแกร่งของราคา

**RSI (Relative Strength Index):** วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา เปรียบเสมือน "มาตรวัดความเหนื่อยล้า" ของตลาด

   *   ค่าสูงกว่า 70: อาจบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ "ซื้อมากเกินไป" (Overbought) ซึ่งอาจเกิดการกลับตัวลง (เหมาะกับการเปิด Put)
   *   ค่าต่ำกว่า 30: อาจบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ "ขายมากเกินไป" (Oversold) ซึ่งอาจเกิดการกลับตัวขึ้น (เหมาะกับการเปิด Call)

**MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้เพื่อระบุ แนวโน้ม และโมเมนตัม โดยดูจากการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
**Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของตลาด แบนด์ที่บีบตัวแคบลงมักบ่งชี้ว่าความผันผวนต่ำและอาจเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในไม่ช้า

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการใช้ Indicators:

การพึ่งพาตัวชี้วัดเพียงตัวเดียว (ควรใช้ร่วมกันอย่างน้อย 2-3 ตัว)
การใช้ตัวชี้วัดในสภาวะที่ตลาดไม่มี แนวโน้ม (Sideways Market) ซึ่งอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก (False Signals) บ่อยครั้ง

4.3 การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)

การซื้อขายตาม แนวโน้ม เป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น

**แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend):** ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
**แนวโน้มขาลง (Downtrend):** ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ

กลยุทธ์ตามแนวโน้ม:

ใน แนวโน้ม ขาขึ้น ให้เน้นการเปิด Call option เมื่อราคาย่อตัวลงมาแตะแนวรับหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
ใน แนวโน้ม ขาลง ให้เน้นการเปิด Put option เมื่อราคาย้อนกลับขึ้นไปแตะแนวต้านหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

การเข้าใจแนวโน้ม ช่วยลดความเสี่ยงในการพยายาม "สวนทาง" กับแรงตลาด

5. ขั้นตอนการเข้าทำกำไรและบริหารความเสี่ยง

การซื้อขาย Binary option ต้องมีการวางแผนการเข้าและออกที่ชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ การบริหารความเสี่ยง และ การกำหนดขนาดสถานะ

5.1 ขั้นตอนการเปิดสถานะ (Order Entry Workflow)

สมมติว่าคุณใช้แพลตฟอร์มอย่าง IQ Option หรือ Pocket Option ขั้นตอนโดยทั่วไปจะเป็นดังนี้:

**เลือกสินทรัพย์:** เลือกคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่คุณต้องการเทรด (เช่น EUR/USD)
**เลือกกรอบเวลา:** กำหนดกรอบเวลาของกราฟ (เช่น 1 นาที) เพื่อการวิเคราะห์
**วิเคราะห์และตัดสินใจ:** ใช้เครื่องมือของคุณเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อ (Call) หรือขาย (Put)
**กำหนดจำนวนเงินลงทุน (Position Sizing):** กำหนดจำนวนเงินที่คุณจะเสี่ยงในสถานะนี้ (ดูหัวข้อ 5.2)
**กำหนด เวลาหมดอายุ:** เลือกเวลาที่เหมาะสมตามการวิเคราะห์ของคุณ (เช่น 5 นาที)
**ยืนยันคำสั่ง:** กดปุ่ม "Call" หรือ "Put" เพื่อเปิดสถานะ

5.2 การกำหนดขนาดสถานะและความเสี่ยง (Risk Management)

นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอดในตลาดไบนารีออปชัน คุณต้องกำหนดความเสี่ยงต่อการซื้อขายแต่ละครั้ง

**ความเสี่ยงต่อการเทรด:** ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1% ถึง 5% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว

   *   *ตัวอย่าง:* หากคุณมีเงินทุน 10,000 บาท คุณควรเสี่ยงไม่เกิน 100 ถึง 500 บาทต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

**ความเสี่ยงรายวัน:** กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนสูงสุดต่อวัน (เช่น หากขาดทุนรวม 10% ของเงินทุน ให้หยุดเทรดทันที)

5.3 การจัดการสถานะเมื่อใกล้หมดอายุ

ในไบนารีออปชัน เมื่อถึง Expiry time สถานะจะปิดโดยอัตโนมัติและคุณจะได้รับผลลัพธ์ทันที

**กรณี ITM (In-the-money):** หากราคาปิดสูงกว่า (สำหรับ Call) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Put) ราคาเปิด คุณได้กำไรตามอัตรา การจ่ายเงิน
**กรณี OTM (Out-of-the-money):** หากราคาปิดตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ คุณจะสูญเสียเงินลงทุน

บางแพลตฟอร์มอาจมีฟีเจอร์ "Sell Early" หรือ "Close Early" ซึ่งช่วยให้คุณสามารถปิดสถานะก่อนหมดอายุได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะได้รับเงินคืนเพียงบางส่วน (เช่น 30%-60% ของเงินลงทุน) ซึ่งอาจใช้เพื่อจำกัดการขาดทุนหากตลาดเคลื่อนไหวผิดทางอย่างรวดเร็ว

6. การใช้งานแพลตฟอร์มเบื้องต้น (กรณีศึกษา: IQ Option/Pocket Option)

แพลตฟอร์มซื้อขายไบนารีออปชันส่วนใหญ่มีโครงสร้างการทำงานที่คล้ายคลึงกัน แพลตฟอร์มเหล่านี้มักถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น

6.1 บัญชีทดลอง (Demo Account)

สำหรับผู้เริ่มต้น การเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

**ข้อดี:** ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับอินเทอร์เฟซ, การตั้งค่าคำสั่งซื้อขาย, และการทดสอบกลยุทธ์โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
**คำแนะนำ:** ใช้บัญชีทดลองจนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ก่อนย้ายไปใช้เงินจริง

6.2 การนำทางและการตั้งค่ากราฟ

**ประเภทกราฟ:** เลือกใช้กราฟแท่งเทียน (Candlesticks) เสมอ เพราะให้ข้อมูลการเปิด/ปิด/สูงสุด/ต่ำสุดของช่วงเวลานั้น ๆ ได้ดีที่สุด
**การตั้งค่า Timeframe:** ปรับกรอบเวลาของกราฟให้สอดคล้องกับ Expiry time ที่คุณตั้งใจจะใช้ (เช่น หากเทรด 2 นาที ให้ดูแท่งเทียน 30 วินาที หรือ 1 นาที)
**การเพิ่ม Indicators:** เรียนรู้วิธีเพิ่ม RSI, MACD, หรือ Bollinger Bands เข้าไปในกราฟของคุณ

6.3 การจัดการบัญชีและการปฏิบัติตามข้อกำหนด

**การฝาก/ถอนเงิน:** ตรวจสอบวิธีการฝากเงินที่สะดวกและวิธีการถอนเงินที่รวดเร็วของโบรกเกอร์นั้น ๆ
**KYC (Know Your Customer):** การยืนยันตัวตนเป็นขั้นตอนบังคับก่อนการถอนเงินจริง ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัย
**ข้อควรระวังเรื่องโบนัส:** โบรกเกอร์มักเสนอโบนัสเงินฝาก แต่โบนัสเหล่านี้มักมาพร้อมกับเงื่อนไขการเทรดที่สูงมาก (Turnover Requirements) ซึ่งอาจทำให้คุณถอนเงินได้ยากขึ้น ควรทำความเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติเบื้องต้น (ตัวอย่าง):

คุณสมบัติ	IQ Option	Pocket Option
บัญชีทดลอง	มี (เงินจำลอง)	มี (เงินจำลอง)
สินทรัพย์หลัก	Forex, Crypto, Stocks	Forex, Crypto, Stocks
เวลาหมดอายุสั้นสุด	30 วินาที	1 นาที
อัตราการจ่ายเงินสูงสุด	สูง (อาจถึง 91%)	ปานกลางถึงสูง

7. การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง

Binary option ไม่ใช่ "วิธีรวยเร็ว" แต่เป็นการซื้อขายที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนจำกัด

**ความคาดหวังด้านผลตอบแทน:** อัตราการจ่ายเงินสูงสุดมักอยู่ที่ 85%-95% หมายความว่า หากคุณชนะ 10 ครั้ง และแพ้ 10 ครั้ง (โดยใช้เงินลงทุนเท่ากัน) คุณจะยังคงขาดทุนเล็กน้อย (เพราะส่วนที่แพ้คือ 100% แต่ส่วนที่ชนะคือ 85% หรือ 90%) ดังนั้น คุณจำเป็นต้องมีอัตราการชนะที่สูงกว่า 50% อย่างมีนัยสำคัญเพื่อทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ
**ความสำคัญของ สมุดบันทึกการเทรด:** บันทึกทุกการซื้อขาย ทั้งกำไรและขาดทุน เพื่อดูว่ากลยุทธ์ใดใช้ได้ผลดีที่สุดกับสินทรัพย์และเวลาใด
**การจัดการอารมณ์:** ความเร็วในการปิดสถานะของ BO อาจกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โลภหรือกลัวได้ง่าย การเทรดด้วยกลยุทธ์ที่ผ่านการทดสอบและการยึดมั่นใน กฎการบริหารความเสี่ยง คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และโครงสร้างการจ่ายเงิน

Contents