การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และรูปแบบการจ่ายเงิน

การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และรูปแบบการจ่ายเงินใน Binary Option สำหรับมือใหม่

การซื้อขาย Binary option หรือไบนารี่ออปชั่นนั้นมีความเรียบง่ายในแง่ของแนวคิดหลัก แต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในองค์ประกอบสำคัญสามส่วน ได้แก่ การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม เวลาที่ใช้ในการซื้อขาย (Expiry Time) และการทำความเข้าใจกับรูปแบบการจ่ายเงิน (Payout) บทความนี้จะแนะนำพื้นฐานเหล่านี้สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ โดยเน้นที่การปฏิบัติจริงและการบริหารความเสี่ยง

ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและข้อแตกต่างจากตลาดอื่น อธิบายว่าไบนารี่ออปชั่นเป็นการเดิมพันว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับราคาที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่สัญญาหมดอายุ ซึ่งผลตอบแทนนั้นค่อนข้างคงที่และทราบล่วงหน้า

1. การเลือกสินทรัพย์ (Asset Selection)

สินทรัพย์ที่คุณเลือกซื้อขายเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะใช้ข้อมูลประเภทใดในการวิเคราะห์ ตลาดไบนารี่ออปชั่นโดยทั่วไปมีสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลาย

ประเภทของสินทรัพย์ที่พบบ่อย

• **สกุลเงิน (Forex):** คู่สกุลเงิน เช่น EUR/USD, GBP/JPY เป็นที่นิยมเพราะมีความผันผวนที่คาดเดาได้ง่ายกว่าตลาดอื่นในบางช่วงเวลา
• **ดัชนี (Indices):** เช่น S&P 500, NASDAQ เป็นการซื้อขายตามภาพรวมของตลาดหุ้นขนาดใหญ่
• **สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities):** เช่น ทองคำ (Gold), น้ำมัน (Oil)
• **หุ้น (Stocks):** บางแพลตฟอร์มมีหุ้นรายตัวให้เลือก

การเลือกสินทรัพย์สำหรับมือใหม่

สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเลือกสินทรัพย์ที่คุณคุ้นเคย หรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนไม่สูงจนเกินไปในช่วงเวลาที่คุณจะทำการซื้อขาย

• **ความคุ้นเคย:** หากคุณติดตามข่าวสารเศรษฐกิจของยุโรป การเทรด EUR/USD อาจให้ความได้เปรียบมากกว่า
• **สภาพคล่องและความผันผวน:** สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงมักจะถูกควบคุมโดยปัจจัยพื้นฐานที่ชัดเจนกว่า อย่างไรก็ตาม ในไบนารี่ออปชั่นที่มี Expiry time สั้นมาก (เช่น 60 วินาที) ความผันผวนระยะสั้นอาจมาจากปัจจัยทางเทคนิคล้วนๆ
• **อัตราการจ่ายเงิน (Payout Rate):** แพลตฟอร์มแต่ละแห่งจะให้ Payout ที่แตกต่างกันสำหรับสินทรัพย์เดียวกันในเวลาเดียวกัน

สินทรัพย์	ข้อดีสำหรับมือใหม่	ข้อควรระวัง
EUR/USD	สภาพคล่องสูง, มีข้อมูลวิเคราะห์มาก	การเคลื่อนไหวอาจช้าในช่วงตลาดปิด
ทองคำ	มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยง (Risk-off asset)	มีความผันผวนสูงเมื่อมีข่าวใหญ่

การซื้อสินทรัพย์ เป็นขั้นตอนแรกในการทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์นั้นๆ เคลื่อนไหวอย่างไร

2. การทำความเข้าใจเวลากำหนดหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time คือหัวใจสำคัญของ Binary option เพราะมันกำหนดจุดสิ้นสุดของการทำนายของคุณ หากคุณคาดการณ์ถูกก่อนเวลาหมดอายุ คุณจะได้กำไร แต่ถ้าผิด คุณเสียเงินลงทุนในเทรดนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง Timeframe และ Expiry Time

การเลือก Expiry time ต้องสอดคล้องกับกรอบเวลา (Timeframe) ของการวิเคราะห์กราฟที่คุณใช้

1. **การวิเคราะห์ด้วยกราฟแท่งเทียน (Candlestick Analysis):** หากคุณวิเคราะห์โดยใช้กราฟแท่งเทียน 5 นาที (M5) คุณไม่ควรตั้ง Expiry Time เป็น 2 นาที เพราะคุณไม่มีเวลาให้การวิเคราะห์ของคุณแสดงผล
2. **การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis):** หากคุณเห็น Trend ที่ชัดเจนในกราฟรายชั่วโมง (H1) คุณอาจเลือก Expiry Time ที่ยาวขึ้น เช่น 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เพื่อให้แนวโน้มนั้นดำเนินต่อไป

การเลือก Expiry Time ที่เหมาะสม

การทำความเข้าใจเวลากำหนดหมดอายุและการเลือกราคาใช้สิทธิ์ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น ลองพิจารณาจากกลยุทธ์:

• **Scalping (ระยะสั้นมาก):** Expiry Time สั้น (1-5 นาที) มักจะใช้การวิเคราะห์ราคาในปัจจุบันทันที อาจใช้การวิเคราะห์ Candlestick pattern หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว

   *   *ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:* การตั้ง Expiry Time สั้นเกินไป (เช่น 30 วินาที) ทำให้ปัจจัยสุ่มมีอิทธิพลสูงมาก

• **Day Trading (ระยะสั้นถึงกลาง):** Expiry Time 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง มักจะใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น RSI หรือ MACD
• **Position Trading (ระยะยาว):** Expiry Time หลายชั่วโมง หรือจนถึงสิ้นวัน มักเน้นการวิเคราะห์ Support and resistance ในกรอบเวลาใหญ่ (H4, Daily)

หากคุณใช้การวิเคราะห์ Support and resistance คุณควรตั้ง Expiry Time ให้เลยช่วงเวลาที่คาดว่าราคาจะทดสอบแนวรับ/แนวต้านถัดไป

3. รูปแบบการจ่ายเงิน (Payout Logic) และราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price)

ในไบนารี่ออปชั่น คุณไม่ได้ซื้อสินทรัพย์จริงๆ แต่คุณกำลังซื้อสิทธิ์ในการรับเงินจำนวนหนึ่ง หากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง

Payout และความเสี่ยง

Payout คือเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับหากการเทรดนั้นเป็น In-the-money (ITM)

• **ตัวอย่าง:** หากคุณลงทุน 100 บาท และ Payout คือ 85% หากคุณชนะ คุณจะได้เงินคืน 100 บาท บวกกำไร 85 บาท รวมเป็น 185 บาท
• **ความเสี่ยง:** หากคุณแพ้ คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด (100 บาท) นี่คือเหตุผลที่ การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ สำคัญมาก

ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price)

ราคาใช้สิทธิ์คือระดับราคาที่แพลตฟอร์มกำหนด ณ เวลาที่คุณเปิดออเดอร์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าคุณชนะหรือแพ้

• **Call Option (คาดว่าราคาสูงขึ้น):** คุณจะชนะหากราคา ณ เวลาหมดอายุสูงกว่าราคาใช้สิทธิ์
• **Put Option (คาดว่าราคาต่ำลง):** คุณจะชนะหากราคา ณ เวลาหมดอายุต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์

ราคาใช้สิทธิ์มักจะถูกตั้งไว้ใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน แต่ในบางกรณี แพลตฟอร์มอาจเสนอราคาใช้สิทธิ์ที่ห่างจากราคาปัจจุบัน (Out-of-the-Money หรือ OTM) ซึ่งมักจะให้ Payout ที่สูงกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะชนะยากกว่า

สถานะราคา	คำจำกัดความ (สำหรับ Call Option)	ผลกระทบต่อ Payout
In-the-money (ITM)	ราคาปิด > ราคาใช้สิทธิ์	Payout ปกติ (เช่น 70-90%)
At-the-money (ATM)	ราคาปิด = ราคาใช้สิทธิ์	มักจะถือว่าแพ้ (คืนเงินลงทุน) หรือชนะตามเงื่อนไขเฉพาะ
Out-of-the-money (OTM)	ราคาปิด < ราคาใช้สิทธิ์	อาจพบได้ยากในตลาดทั่วไป แต่บางแพลตฟอร์มเสนอ OTM ที่มี Payout สูงกว่าปกติ (ต้องตรวจสอบเงื่อนไข)

4. การวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างง่าย: ตัวชี้วัดและการนำไปใช้

การตัดสินใจว่าจะซื้อ Call option หรือ Put option ต้องอาศัยการวิเคราะห์ตลาด ซึ่งสำหรับมือใหม่ การใช้เครื่องมือพื้นฐานเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

A. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

เปรียบเสมือน "พื้น" และ "เพดาน" ของราคา

• **แนวรับ (Support):** ระดับราคาที่มักจะหยุดการร่วงลงและดีดตัวกลับขึ้นไป (พื้น)
• **แนวต้าน (Resistance):** ระดับราคาที่มักจะหยุดการขึ้นและถูกผลักกลับลงมา (เพดาน)

• **กลยุทธ์ง่ายๆ:** เมื่อราคาลงมาแตะแนวรับที่แข็งแกร่ง ให้พิจารณาเปิด Call option และเมื่อราคาขึ้นไปแตะแนวต้านที่แข็งแกร่ง ให้พิจารณาเปิด Put option
• **ข้อผิดพลาด:** การเข้าซื้อขายทันทีที่ราคาแตะแนวรับ/แนวต้าน โดยไม่รอการยืนยัน (เช่น แท่งเทียนกลับตัว)

B. ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)

ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยบอกว่าตลาดกำลังซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

• **Relative Strength Index (RSI):**

   *   ค่าสูงกว่า 70: บ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจถูกซื้อมากเกินไป (Overbought) — สัญญาณสำหรับ Put option
   *   ค่าต่ำกว่า 30: บ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจถูกขายมากเกินไป (Oversold) — สัญญาณสำหรับ Call option
   *   *ข้อควรระวัง:* ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง (Strong Trend) ค่า RSI อาจค้างอยู่ที่ Overbought/Oversold เป็นเวลานาน

• **Moving Average Convergence Divergence (MACD):**

   *   ใช้ดูการตัดกันของเส้น MACD และ Signal Line เพื่อหาการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม
   *   *การใช้งาน:* หากเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line พร้อมกับอยู่ใต้เส้นศูนย์ อาจเป็นสัญญาณซื้อ (Call) หากตัดลง อาจเป็นสัญญาณขาย (Put)

C. การวิเคราะห์คลื่น (Elliott Wave Theory)

แม้จะดูซับซ้อน แต่แนวคิดหลักคือตลาดเคลื่อนที่เป็นรูปแบบคลื่น 5 คลื่นขาขึ้น และ 3 คลื่นขาลง (5-3 Structure)

• **สำหรับมือใหม่:** ให้เน้นการระบุว่าราคาอยู่ในช่วงการปรับฐาน (Correction Wave) หรือการเคลื่อนไหวตามแนวโน้มหลัก (Impulse Wave) เท่านั้น อย่าพยายามนับคลื่นอย่างแม่นยำในตอนแรก
• **การประยุกต์ใช้:** หากคุณเชื่อว่ากำลังอยู่ในคลื่น 5 สุดท้าย การเปิด Put option ในช่วงสั้นๆ อาจมีโอกาสสำเร็จสูงกว่าการเปิด Call option

5. การบริหารความเสี่ยงและการตั้งค่าการซื้อขายจริง

การบริหารเงินคือสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่รอดในตลาดนี้

A. การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing)

Risk management ในไบนารี่ออปชั่นหมายถึงการจำกัดจำนวนเงินที่คุณจะเสี่ยงต่อการซื้อขายแต่ละครั้ง

• **กฎ 1-3%:** เทรดเดอร์มืออาชีพส่วนใหญ่แนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 1% ถึง 3% ของเงินทุนรวมต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
• **ตัวอย่าง:** หากคุณมีเงินทุน 1,000 บาท คุณไม่ควรเสี่ยงเกิน 10-30 บาทต่อการเทรด

B. ความเสี่ยงต่อวัน (Daily Risk Limit)

กำหนดจำนวนการเทรดที่ขาดทุนสูงสุดที่คุณยอมรับได้ในหนึ่งวัน หากถึงขีดจำกัดนี้ ให้หยุดเทรดทันที

• **ตัวอย่าง:** ตั้งลิมิตการขาดทุนรายวันไว้ที่ 10% ของเงินทุน (100 บาท จากทุน 1,000 บาท) เมื่อถึงจุดนี้ ให้ปิดแพลตฟอร์มและกลับมาวิเคราะห์ใหม่ในวันถัดไป

C. ขั้นตอนการเปิดออเดอร์บนแพลตฟอร์ม (เช่น IQ Option หรือ Pocket Option)

แพลตฟอร์มอย่าง IQ Option หรือ Pocket Option มีขั้นตอนที่คล้ายกันในการเปิดคำสั่งซื้อขาย

1. **เลือกสินทรัพย์:** เลือกคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่คุณต้องการเทรด
2. **ตรวจสอบ Payout:** ดูว่าอัตราผลตอบแทนปัจจุบันคือเท่าไร
3. **เลือกจำนวนเงินลงทุน:** ป้อนจำนวนเงินที่คุณต้องการเสี่ยง (ต้องสอดคล้องกับ Position sizing)
4. **เลือก Expiry Time:** ตั้งเวลาหมดอายุตามการวิเคราะห์ของคุณ (เช่น 5 นาที)
5. **เลือกราคาใช้สิทธิ์ (ถ้ามี):** หากแพลตฟอร์มให้เลือก Strike Price ให้เลือกตามกลยุทธ์ของคุณ (ITM หรือ OTM)
6. **วิเคราะห์ทิศทาง:** ดูแนวโน้มปัจจุบันและตัวชี้วัด
7. **กดปุ่ม:** กด 'Call' (ซื้อ) หากคาดว่าราคาจะขึ้น หรือ 'Put' (ขาย) หากคาดว่าราคาจะลง
8. **เฝ้าดู:** รอจนกว่าจะถึง Expiry time เพื่อดูผลลัพธ์

6. การประเมินผลและการปรับปรุงกลยุทธ์

การซื้อขายที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่การชนะ แต่คือการเรียนรู้จากทุกการเทรด

การใช้ Trading Journal

คุณต้องบันทึกทุกการซื้อขายใน Trading journal เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์

• **ข้อมูลที่ต้องบันทึก:** สินทรัพย์, เวลาเปิด/ปิด, Expiry Time, เหตุผลในการเข้าเทรด (อ้างอิงจากตัวชี้วัดใด), ผลลัพธ์ (Win/Loss), และความรู้สึกขณะเทรด

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง

ไบนารี่ออปชั่นไม่ใช่การรวยเร็ว

• **อัตราการชนะที่สมเหตุสมผล:** สำหรับมือใหม่ การมีอัตราการชนะที่สม่ำเสมอที่ 55%-60% ถือว่าดีมาก เมื่อรวมกับ Payout ที่ 80% คุณจะยังคงทำกำไรได้ในระยะยาว
• **การปรับปรุงกลยุทธ์:** ใช้ข้อมูลจาก Trading Journal เพื่อทำการ การปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขาย อย่างต่อเนื่อง หากกลยุทธ์ที่ใช้ RSI ไม่ได้ผลในตลาด Sideways ให้เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับตลาดนั้นๆ

7. ข้อพิจารณาด้านแพลตฟอร์มและความปลอดภัย

เมื่อเลือกแพลตฟอร์ม เช่น IQ Option หรือ Pocket Option คุณต้องพิจารณามากกว่าแค่ Payout

A. บัญชีทดลอง (Demo Account)

• **ความสำคัญ:** ใช้บัญชีทดลองเพื่อฝึกฝนการเลือกสินทรัพย์, การตั้ง Expiry Time, และการใช้งานแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง นี่คือสนามฝึกซ้อมที่สำคัญที่สุดก่อนใช้เงินจริง

B. ความน่าเชื่อถือและการถอนเงิน

• ตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินของโบรกเกอร์
• ทำความเข้าใจขั้นตอน KYC (Know Your Customer) ซึ่งจำเป็นสำหรับการยืนยันตัวตนก่อนการถอนเงิน
• การทำธุรกรรมทางการเงินควรใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัย เช่น การใช้ Data Encryption Techniques ในการซื้อขาย เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัว

C. ข้อจำกัดทางภูมิภาคและข้อจำกัดความรับผิดชอบ

• ไบนารี่ออปชั่นถูกควบคุมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โปรดตรวจสอบกฎหมายในพื้นที่ของคุณ
• **คำเตือนความเสี่ยง:** การลงทุนมีความเสี่ยงสูง คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด การเทรดด้วยเงินที่คุณไม่สามารถสูญเสียได้เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

สรุปสำหรับผู้เริ่มต้น

การเริ่มต้นที่ดีคือการมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจองค์ประกอบหลักสามส่วน:

1. **สินทรัพย์:** เลือกสินทรัพย์ที่คุณเข้าใจและมีข้อมูลวิเคราะห์เพียงพอ
2. **เวลา:** จับคู่ Expiry time ให้สอดคล้องกับกรอบเวลาการวิเคราะห์ของคุณ
3. **การบริหารความเสี่ยง:** อย่าเสี่ยงเกิน 1-3% ของเงินทุนต่อการเทรด และใช้ การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ อย่างเคร่งครัด

ฝึกฝนบนบัญชีทดลอง และใช้ การใช้ซอฟต์แวร์การซื้อขาย เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนจริง

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

• ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและข้อแตกต่างจากตลาดอื่น
• ส่วนประกอบสำคัญของแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่น
• การทำความเข้าใจเวลากำหนดหมดอายุและการเลือกราคาใช้สิทธิ์
• การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

บทความแนะนำ

• ความเสี่ยงในการซื้อขาย Forex
• เทคนิคการบริหารเงินในการซื้อขาย Options แบบ Binary มีอะไรบ้าง?
• เริ่มต้นซื้อขาย Options แบบ Binary ต้องรู้อะไรบ้าง?
• <bos>%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2_Options_%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A_Binary_%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%3F การเสียภาษีจากการซื้อขาย Options แบบ Binary ในไทยเป็นอย่างไร?
• การซื้อสินทรัพย์

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!