การทำความเข้าใจเวลากำหนดหมดอายุและการเลือกราคาใช้สิทธิ์

การทำความเข้าใจเวลากำหนดหมดอายุและการเลือกราคาใช้สิทธิ์ในไบนารี่ออปชั่น

Binary option หรือ ไบนารี่ออปชั่น เป็นรูปแบบการลงทุนที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น แต่กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จคือการเข้าใจองค์ประกอบที่กำหนดผลลัพธ์ของการเทรด นั่นคือ Expiry time (เวลากำหนดหมดอายุ) และราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) บทความนี้จะอธิบายพื้นฐานเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างมีเหตุผล การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

พื้นฐานของไบนารี่ออปชั่น: การคาดการณ์ทิศทาง

ในไบนารี่ออปชั่น คุณไม่ได้ซื้อหรือขายสินทรัพย์จริง แต่คุณกำลังคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์นั้นๆ (เช่น คู่สกุลเงิน, ดัชนี, หรือสินค้าโภคภัณฑ์) จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่กำหนด

• **Call Option (ออปชั่นซื้อ):** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะสูงกว่าราคาปัจจุบันเมื่อหมดอายุ
• **Put Option (ออปชั่นขาย):** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะต่ำกว่าราคาปัจจุบันเมื่อหมดอายุ

สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ผลตอบแทน (Payout) ของคุณถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าราคาจะไปไกลแค่ไหนก็ตามเมื่อหมดอายุ หากคุณทายถูก คุณจะได้เงินคืนตาม Payout ที่ตกลงไว้ (เช่น 70% ถึง 95% ของเงินลงทุน) หากทายผิด คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

เวลาหมดอายุ (Expiry Time): หัวใจของการตัดสินใจ

Expiry time คือช่วงเวลาที่การเทรดของคุณจะสิ้นสุดลง และผลลัพธ์จะถูกตัดสิน นี่คือสิ่งที่ทำให้ไบนารี่ออปชั่นแตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิม เนื่องจากคุณไม่จำเป็นต้องถือสถานะไว้เป็นเวลานาน

การเลือก Expiry Time ที่เหมาะสม

การเลือกเวลาหมดอายุขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การวิเคราะห์ของคุณ และความผันผวนของตลาดที่คุณกำลังเทรดอยู่

• **การเทรดระยะสั้นมาก (Turbo/Binary Options):** มักมีเวลาตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที เวลาเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงสูงมากเพราะต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่แม่นยำในกรอบเวลาสั้นๆ
• **การเทรดระยะกลาง:** ตั้งแต่ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดจากข่าวสารระยะสั้น หรือการกลับตัวของ Trend ในกรอบเวลา 5 นาที หรือ 15 นาที
• **การเทรดระยะยาว:** ตั้งแต่หลายชั่วโมงจนถึงสิ้นวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น เช่น กราฟรายชั่วโมง หรือรายวัน

• • ข้อควรระวัง:** สำหรับมือใหม่ การเลือก Expiry Time ที่สั้นเกินไป (เช่น 60 วินาที) มักนำไปสู่การขาดทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนแบบสุ่มในระยะเวลาสั้นมาก

การจับคู่ Expiry Time กับการวิเคราะห์

คุณต้องเลือกเวลาหมดอายุที่สอดคล้องกับเครื่องมือวิเคราะห์ของคุณ

• หากคุณใช้ Candlestick pattern ที่ปรากฏบนกราฟ 5 นาที คุณควรเลือก Expiry Time ที่ยาวกว่าช่วงเวลาของแท่งเทียนนั้นอย่างน้อย 1-2 เท่า เพื่อให้การเคลื่อนไหวของราคาเกิดขึ้นจริง
• หากคุณวิเคราะห์โดยใช้ Support and resistance ในกรอบเวลารายชั่วโมง Expiry Time ที่เหมาะสมอาจเป็น 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง

ประเภทการเทรด	ช่วง Expiry Time โดยประมาณ	การวิเคราะห์ที่สอดคล้อง
สั้นมาก (Turbo)	30 วินาที - 5 นาที	การจับจังหวะความผันผวนระยะสั้น
กลาง	15 นาที - 1 ชั่วโมง	การกลับตัวของราคาในกรอบ 5-15 นาที
ยาว	หลายชั่วโมง - สิ้นวัน	การยืนยัน Trend ในกรอบ 1 ชั่วโมงขึ้นไป

ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price): จุดตัดสินผลลัพธ์

ราคาใช้สิทธิ์คือระดับราคาของสินทรัพย์ ณ เวลาที่คุณเปิดสถานะ หรือเป็นระดับราคาที่แพลตฟอร์มกำหนดให้เป็นจุดอ้างอิงในการตัดสินผลลัพธ์ (ขึ้นอยู่กับประเภทของไบนารี่ออปชั่นที่คุณเลือก)

ในไบนารี่ออปชั่นส่วนใหญ่ ราคาใช้สิทธิ์จะถูกตั้งไว้ที่ราคาตลาดปัจจุบัน ณ เวลาที่คุณกดซื้อ/ขาย แต่ในบางรูปแบบ (เช่น Options บางประเภทที่ซับซ้อนกว่า) คุณอาจต้องเลือกราคาใช้สิทธิ์เอง

ความสัมพันธ์กับ In-the-money (ITM) และ Out-of-the-money (OTM)

ผลลัพธ์ของการเทรดขึ้นอยู่กับว่าราคาปิด ณ Expiry time อยู่ที่ใดเมื่อเทียบกับราคาใช้สิทธิ์

• **In-the-money (ITM):** หมายถึงการเทรดของคุณ "ชนะ" หากราคาปิดอยู่เหนือ (สำหรับ Call) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Put) ราคาใช้สิทธิ์
• **Out-of-the-money (OTM):** หมายถึงการเทรดของคุณ "แพ้" หากราคาปิดอยู่ตรงข้ามกับทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้เมื่อเทียบกับราคาใช้สิทธิ์
• **At-the-money (ATM):** หากราคาปิดเท่ากับราคาใช้สิทธิ์พอดี โดยทั่วไปถือว่าเป็นการแพ้ (OTM) เว้นแต่โบรกเกอร์จะมีนโยบายคืนเงิน

• • ตัวอย่าง:**

สมมติคุณซื้อ Call option คู่ EUR/USD ที่ราคา 1.10000 โดยมี Expiry Time 5 นาที

• หากราคาปิดที่ 1.10005 (สูงกว่าราคาใช้สิทธิ์) คุณชนะ (ITM)
• หากราคาปิดที่ 1.09995 (ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์) คุณแพ้ (OTM)

ขั้นตอนการเข้าเทรดโดยคำนึงถึงเวลาและราคาใช้สิทธิ์

การเปิดสถานะในแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่น เช่น IQ Option หรือ Pocket Option มักมีขั้นตอนที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งต้องมีการตัดสินใจเรื่องเวลาและจำนวนเงินลงทุนก่อนเสมอ

1. ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์และเลือกสินทรัพย์

1. เลือกสินทรัพย์ที่คุณต้องการเทรด (เช่น EUR/USD, ทองคำ) ตรวจสอบ การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และรูปแบบการจ่ายเงิน
2. เปิดดูกราฟในกรอบเวลาที่เหมาะสมกับการวิเคราะห์ของคุณ (เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที)

1. ขั้นตอนที่ 2: การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการกำหนดทิศทาง

1. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น RSI, MACD, หรือดูแนวรับแนวต้าน Support and resistance เพื่อหาจุดเข้าที่ชัดเจน
2. กำหนดทิศทาง: คุณคาดว่าราคาจะขึ้น (Call) หรือลง (Put)

1. ขั้นตอนที่ 3: การกำหนดเวลาหมดอายุ (Expiry Time)

1. พิจารณาว่าการวิเคราะห์ของคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนในการแสดงผล
2. เลือก Expiry Time ที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของคุณ (เช่น หากคุณเห็นสัญญาณกลับตัวที่แข็งแกร่งในกราฟ 1 นาที อาจเลือก Expiry Time 3-5 นาที)

1. ขั้นตอนที่ 4: การกำหนดราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price)

1. ในไบนารี่ออปชั่นส่วนใหญ่ ราคาใช้สิทธิ์จะถูกตั้งเป็นราคาปัจจุบันที่คุณกดซื้อ/ขาย
2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าราคาปัจจุบัน (จุดเปิด) อยู่ในตำแหน่งที่คุณต้องการเมื่อเทียบกับแนวรับแนวต้านที่คุณมองเห็น

1. ขั้นตอนที่ 5: การกำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing)

1. กำหนดจำนวนเงินที่คุณจะเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ตามหลัก Risk management
2. คำนวณ Payout ที่คาดหวัง (เช่น หากลงทุน 100 บาท และ Payout 80% คุณจะได้กำไรรวม 180 บาท หากชนะ)

1. ขั้นตอนที่ 6: การยืนยันคำสั่งซื้อขาย

1. เลือก Call หรือ Put
2. ตรวจสอบ Expiry Time, จำนวนเงินลงทุน, และสินทรัพย์อีกครั้ง
3. กดปุ่มซื้อ/ขาย

การจัดการความเสี่ยง: การจำกัดการขาดทุน

ในไบนารี่ออปชั่น ความเสี่ยงสูงสุดที่คุณยอมรับได้คือเงินลงทุนทั้งหมดในสถานะนั้นๆ สิ่งสำคัญคือการกำหนดขีดจำกัดความเสี่ยงรายวัน

• **ความเสี่ยงต่อการเทรด:** ไม่ควรเกิน 1-3% ของเงินทุนรวมต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
• **ความเสี่ยงรายวัน:** หากขาดทุนถึงระดับที่กำหนด (เช่น 10% ของพอร์ต) ให้หยุดเทรดทันที การทำเช่นนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงจากการเทรดที่ผิดพลาดหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

การวิเคราะห์ทางเทคนิคกับการเลือกเวลา: ตัวอย่างและข้อผิดพลาด

การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ดีขึ้น แต่การเลือกเวลาหมดอายุที่ไม่สอดคล้องกับการวิเคราะห์เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด

1. 1. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับและแนวต้านคือระดับราคาที่ตลาดเคยหยุดหรือกลับตัวในอดีต เปรียบเสมือน "กำแพง" ที่ราคาเข้าถึงได้ยาก

• **กลยุทธ์:** หากราคาเข้าใกล้แนวต้านที่แข็งแกร่งและแสดงสัญญาณอ่อนแรง (เช่น Candlestick pattern กลับตัวลง) คุณจะเปิด Put Option
• **การเลือกเวลา:** หากคุณใช้กราฟ 15 นาที และแนวต้านนั้นแข็งแกร่งมาก คุณอาจให้เวลาการกลับตัวอย่างน้อย 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ราคามีเวลา "เด้ง" ออกจากแนวต้านนั้นอย่างชัดเจน การเลือก Expiry Time 5 นาที อาจทำให้คุณแพ้เพราะราคายังไม่ทันได้กลับตัวอย่างสมบูรณ์

การวิเคราะห์	Expiry Time ที่เหมาะสม (ตัวอย่าง)	ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย
การกลับตัวที่แนวรับ (กราฟ 5 นาที)	10-15 นาที	เลือก 60 วินาที เพราะราคาอาจทะลุแนวรับไปก่อน

1. 2. การใช้ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)

ตัวชี้วัดเช่น RSI (Relative Strength Index) บอกเราว่าสินทรัพย์นั้นซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)

• **กลยุทธ์:** หาก RSI อยู่ในโซน Overbought (เช่น สูงกว่า 70) และคุณเห็นสัญญาณกลับตัวลง คุณจะเปิด Put Option
• **ข้อจำกัด:** ในตลาดที่มี Trend แข็งแกร่ง RSI อาจอยู่ในโซน Overbought เป็นเวลานาน การเปิด Put Option เร็วเกินไปเพราะ RSI สูง อาจทำให้คุณขาดทุนได้

1. 3. การใช้ตัวชี้วัดแนวโน้ม (Trend Indicators)

ตัวชี้วัดเช่น MACD ช่วยระบุทิศทางของตลาด

• **กลยุทธ์:** หากเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ และคุณเห็นว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น คุณจะเปิด Call Option
• **การตรวจสอบความถูกต้อง:** หากคุณใช้ MACD ในกราฟ 1 ชั่วโมง คุณควรเลือก Expiry Time ที่ยาวกว่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดกันของเส้นนั้นไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณหลอก (Fakeout) ในกรอบเวลาสั้นๆ

1. 4. การวิเคราะห์คลื่น (Wave Analysis)

สำหรับผู้ที่ศึกษาขั้นสูงขึ้น การใช้ Elliott wave สามารถช่วยระบุจุดสิ้นสุดของคลื่นย่อยได้

• **ความซับซ้อน:** การวิเคราะห์คลื่นมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับการตีความสูงมาก
• **การเลือกเวลา:** หากคุณคาดว่าคลื่น 5 กำลังจะจบลง คุณต้องตั้ง Expiry Time ให้ครอบคลุมระยะเวลาที่คาดว่าคลื่นย่อยจะเสร็จสมบูรณ์

• • ข้อควรระวัง:** การวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น Elliott wave หรือ การทำความเข้าใจกับหลักการของ Gann Analysis มักไม่เหมาะกับ Expiry Time ที่สั้นมาก (ต่ำกว่า 5 นาที) เพราะการเคลื่อนไหวของราคามักถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสุ่มมากกว่าโครงสร้างคลื่น

แพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่น: การนำไปใช้จริง (ตัวอย่าง IQ Option และ Pocket Option)

แพลตฟอร์มซื้อขายคือเครื่องมือที่คุณใช้ในการตั้งค่า Expiry Time และ Strike Price แม้ว่ารายละเอียดจะแตกต่างกัน แต่หลักการพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม

องค์ประกอบสำคัญบนแพลตฟอร์ม

แพลตฟอร์มที่ดีควรมี ส่วนประกอบสำคัญของแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่น ที่ชัดเจน โดยเฉพาะส่วนการตั้งค่าคำสั่งซื้อขาย

องค์ประกอบ	คำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับเวลา/ราคา
สินทรัพย์	เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์อื่น
จำนวนเงินลงทุน	เงินที่คุณพร้อมจะเสี่ยง (เกี่ยวข้องกับ Position sizing)
ตัวเลือกเวลา	ส่วนที่คุณกำหนด Expiry Time
ประเภทออปชั่น	Call หรือ Put

การใช้งาน Demo Account

สำหรับผู้เริ่มต้น การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

1. เปิดบัญชีทดลอง (ส่วนใหญ่ไม่ต้องฝากเงิน)
2. ฝึกฝนการตั้งค่า Expiry Time ที่แตกต่างกัน (เช่น 1 นาที, 5 นาที, 15 นาที)
3. สังเกตว่าราคาปิดที่ Expiry Time นั้นๆ มีผลต่อผลลัพธ์อย่างไร โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง

การจัดการกับโบนัสและความเสี่ยง

หลายแพลตฟอร์มเสนอโบนัสเงินฝาก ซึ่งดูน่าสนใจ แต่มาพร้อมกับข้อจำกัดที่ซับซ้อน (Turnover Requirements) ที่กำหนดให้คุณต้องเทรดด้วยปริมาณที่สูงมากก่อนจึงจะถอนเงินได้

• **ความเสี่ยง:** โบนัสอาจทำให้คุณเทรดมากเกินความจำเป็น (Overtrading) เพื่อปลดล็อกเงินโบนัส ซึ่งขัดแย้งกับหลัก Risk management ที่ดี

การถอนเงินและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (KYC)

ก่อนเริ่มเทรดด้วยเงินจริง คุณต้องเข้าใจกระบวนการถอนเงินและข้อกำหนด KYC (Know Your Customer)

• **KYC:** การยืนยันตัวตนเป็นมาตรฐานเพื่อป้องกันการฟอกเงินและทำให้การถอนเงินเป็นไปอย่างปลอดภัย
• **ข้อจำกัด:** ตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มนั้นๆ ได้รับการกำกับดูแลในเขตอำนาจของคุณหรือไม่ และตรวจสอบเรื่องค่าธรรมเนียมการถอนเงิน

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง

ไบนารี่ออปชั่นไม่ใช่ "การรวยเร็ว" การทำความเข้าใจเรื่องเวลาและราคาใช้สิทธิ์ช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้การันตีผลกำไร

1. **ความแม่นยำไม่เท่ากับกำไร:** แม้คุณจะวิเคราะห์ถูก 7 ใน 10 ครั้ง หากการเทรดที่ผิดพลาด 3 ครั้งนั้นมีขนาดใหญ่กว่ากำไร 7 ครั้ง คุณก็ยังขาดทุน
2. **บันทึกการเทรด:** ใช้ Trading journal เพื่อบันทึกทุกการเทรด โดยเฉพาะการตั้งค่า Expiry Time และราคาใช้สิทธิ์ เพื่อดูว่าการตั้งค่าแบบใดที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับคุณ
3. **ความผันผวนและการปั่นราคา:** ตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Market Manipulation หรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ (Spikes) โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวใหญ่ การเลือก Expiry Time ที่ยาวกว่าช่วงข่าวอาจช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้

การควบคุมเวลาหมดอายุและการเข้าใจว่าราคาใช้สิทธิ์กำหนดจุดชนะ/แพ้ของคุณอย่างไร คือการควบคุมปัจจัยที่คุณสามารถควบคุมได้ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

• ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและข้อแตกต่างจากตลาดอื่น
• ส่วนประกอบสำคัญของแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่น
• การเลือกสินทรัพย์ เวลาซื้อขาย และรูปแบบการจ่ายเงิน
• การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

บทความแนะนำ

• การทำความเข้าใจ Morning Star
• การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Non-Fungible Tokens (NFTs)
• การทำความเข้าใจ Inflation (Inflation)
• การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Penetration Testing
• การทำความเข้าใจผลกระทบของข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!