การกำหนดราคาและการจัดการความเสี่ยงต่อการลงทุน

การกำหนดราคาและการจัดการความเสี่ยงต่อการลงทุนในไบนารี่ออปชัน

การซื้อขาย Binary option เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะตัวสูง ซึ่งผลตอบแทนและผลขาดทุนถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน ณ เวลาที่ทำการซื้อขาย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "การกำหนดราคา" และ "การจัดการความเสี่ยง" จึงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อให้สามารถดำเนินการซื้อขายได้อย่างมีเหตุผลและยั่งยืน แม้ว่าไบนารี่ออปชันจะแตกต่างจากการซื้อขายแบบดั้งเดิม เช่น ฟอเร็กซ์ ตรงที่ความเสี่ยงจำกัดอยู่ที่จำนวนเงินลงทุนเท่านั้น แต่การบริหารจัดการเงินทุนก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่รอดในตลาดนี้ ความหมายของไบนารี่ออปชันและข้อแตกต่างจากฟอเร็กซ์

การกำหนดราคาในไบนารี่ออปชัน

ในบริบทของไบนารี่ออปชัน "การกำหนดราคา" ไม่ได้หมายถึงการคำนวณมูลค่าที่ซับซ้อนเหมือนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แต่หมายถึงการกำหนด "ราคาใช้สิทธิ" (Strike Price) และ "อัตราการจ่ายผลตอบแทน" (Payout Rate) ที่โบรกเกอร์เสนอให้แก่ผู้ซื้อขาย

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ราคาใช้สิทธิคือระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์) ณ เวลาที่คุณทำการซื้อขาย ซึ่งเป็นจุดตัดสินว่าสัญญาของคุณจะชนะหรือแพ้

**สำหรับ Call Option:** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ณ Expiry time
**สำหรับ Put Option:** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ณ Expiry time

โบรกเกอร์จะกำหนดราคาใช้สิทธิให้สัมพันธ์กับราคาตลาดปัจจุบันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการซื้อขายระยะสั้นมาก

อัตราการจ่ายผลตอบแทน (Payout Rate)

อัตราการจ่ายผลตอบแทนคือสิ่งที่กำหนดมูลค่าที่คุณจะได้รับหากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง โดยทั่วไปจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินลงทุน ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุน 100 บาท และอัตราจ่ายผลตอบแทนคือ 85% หากคุณชนะ คุณจะได้รับเงินต้นคืน 100 บาท บวกกับกำไร 85 บาท รวมเป็น 185 บาท

**การเปลี่ยนแปลงของ Payout:** อัตราการจ่ายผลตอบแทนไม่ได้คงที่เสมอไป มันจะผันผวนตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น:

   *   ความผันผวนของตลาด (Volatility)
   *   ความใกล้เคียงของราคาปัจจุบันกับราคาใช้สิทธิ
   *   ระยะเวลาของ Expiry time (โดยทั่วไป สัญญาที่หมดอายุเร็วจะมี Payout ต่ำกว่า)
   *   ความต้องการของตลาดต่อสินทรัพย์นั้นๆ

นี่คือตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างราคาตลาดและผลลัพธ์:

การลงทุน	ราคาใช้สิทธิ	ราคาตลาดสุดท้าย	ผลลัพธ์	สถานะ
Call 100 บาท !! 1.1000 !! 1.1001 !! ชนะ (In-the-money) !! ได้รับ 185 บาท (กำไร 85 บาท)
Put 100 บาท !! 1.1000 !! 1.1000 !! เสมอ (At-the-money) !! ได้รับคืน 100 บาท (กำไร 0 บาท)
Call 100 บาท !! 1.1000 !! 1.0999 !! แพ้ (Out-of-the-money) !! ขาดทุน 100 บาท

ผู้เริ่มต้นมักเข้าใจผิดว่า Payout คือกำไรทั้งหมด แต่กำไรที่แท้จริงคือ Payout ลบด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น

การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ในไบนารี่ออปชัน

แม้ว่าความเสี่ยงสูงสุดในการซื้อขาย Binary option คือการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในการซื้อขายนั้นๆ แต่การจัดการความเสี่ยงที่ดีคือการควบคุมจำนวนเงินลงทุนในแต่ละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าการขาดทุนต่อเนื่องจะไม่ทำให้บัญชีหมดไปอย่างรวดเร็ว นี่คือหลักการสำคัญที่แยกนักเทรดที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลว การบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่งการซื้อขาย

1. การกำหนดขนาดตำแหน่งการซื้อขาย (Position Sizing)

นี่คือรากฐานของการอยู่รอดในตลาด การกำหนดขนาดตำแหน่งคือการตัดสินใจว่าคุณจะลงทุนในแต่ละสัญญาเป็นจำนวนเท่าใดของยอดเงินในบัญชีทั้งหมดของคุณ

**กฎ 1-2%:** สำหรับมือใหม่ กฎที่แนะนำอย่างยิ่งคือการเสี่ยงไม่เกิน 1% ถึง 2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการซื้อขายหนึ่งครั้งเท่านั้น

   *   *ตัวอย่าง:* หากคุณมีเงินทุน 10,000 บาท คุณไม่ควรลงทุนในการซื้อขายครั้งเดียวเกิน 100 บาท (1%) หรือ 200 บาท (2%)

**การปรับขนาดตามความมั่นใจ:** แม้ว่าคุณจะมีความมั่นใจในกลยุทธ์สูง แต่การเพิ่มขนาดการลงทุนควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่ควรเกิน 5% ของเงินทุน แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะแน่นอนที่สุด

2. การจำกัดการขาดทุนรายวัน (Daily Loss Limit)

การกำหนดขีดจำกัดการขาดทุนรายวันเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมอารมณ์และป้องกันการ "ไล่ราคา" (Revenge Trading)

**การตั้งค่า:** กำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยอมรับได้ที่จะเสียในหนึ่งวัน (เช่น 5% ของเงินทุน)
**การปฏิบัติ:** ทันทีที่บัญชีของคุณขาดทุนถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้ คุณต้องหยุดการซื้อขายทันที ไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่ามีโอกาสที่ดีแค่ไหนก็ตาม การหยุดพักจะช่วยให้คุณประเมินสถานการณ์ใหม่ในวันถัดไป

3. การกำหนดเป้าหมายกำไรรายวัน (Daily Profit Target)

การมีเป้าหมายกำไรก็สำคัญไม่แพ้การจำกัดการขาดทุน การซื้อขายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเป้าหมายมักนำไปสู่การซื้อขายเกินความจำเป็น (Overtrading)

**การตั้งค่า:** กำหนดกำไรที่คุณต้องการทำได้ในหนึ่งวัน (เช่น 3% ถึง 5% ของเงินทุน)
**การปฏิบัติ:** เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว ควรพิจารณาหยุดซื้อขายเพื่อรักษากำไรที่ทำได้ การพยายามทำกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตลาดเริ่มไม่เป็นใจอาจทำให้กำไรทั้งหมดหายไป

4. การใช้การวิเคราะห์เพื่อยืนยันการเข้าซื้อขาย

การจัดการความเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขทางการเงิน แต่รวมถึงการเลือกโอกาสในการซื้อขายด้วย การเข้าซื้อขายโดยอาศัยเพียงการคาดเดาเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น คุณควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นของผลลัพธ์

**การใช้ตัวบ่งชี้:** การใช้ตัวบ่งชี้ เช่น RSI หรือ MACD เพื่อยืนยัน Trend หรือสภาวะซื้อมาก/ขายมากเกินไป
**การยืนยันแนวรับ/แนวต้าน:** การเข้าซื้อขายเมื่อราคากำลังทดสอบแนว Support and resistance ที่แข็งแกร่ง มักให้ความมั่นใจมากกว่าการเข้าซื้อขายกลางทาง

5. การเลือกช่วงเวลาหมดอายุที่เหมาะสม

Expiry time มีผลต่อความเสี่ยงโดยตรง

**สัญญาระยะสั้น (Turbo/1-5 นาที):** มีความผันผวนสูงมาก ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยอาจทำให้คุณแพ้ได้ การวิเคราะห์ทำได้ยากมาก เหมาะสำหรับผู้มีประสบการณ์สูงเท่านั้น
**สัญญาระยะกลาง (15-60 นาที):** มีความสมดุลระหว่างความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์ มักใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ Candlestick pattern หรือการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้นๆ
**สัญญาระยะยาว (หลายชั่วโมง/วัน):** มีความเสี่ยงด้านความผันผวนระยะสั้นน้อยกว่า แต่ต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและภาพรวมของตลาดที่ใหญ่ขึ้น

การกำหนดจุดเข้าและจุดออกอย่างมีกลยุทธ์

การซื้อขายไบนารี่ออปชันคือการตัดสินใจว่าจะซื้อ Call option หรือ Put option โดยอิงจากการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคตอันใกล้

ขั้นตอนการเข้าซื้อขาย (Entry)

การเข้าซื้อขายควรเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ใช่การตัดสินใจตามอารมณ์ นี่คือโครงร่างขั้นตอนพื้นฐาน:

**การวิเคราะห์ภาพรวม:** กำหนด Trend หลักของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น แนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงในกราฟ 1 ชั่วโมง)
**การเลือกกรอบเวลา:** เลือกกรอบเวลาการแสดงผล (เช่น 5 นาที) ที่สอดคล้องกับ Expiry time ที่คุณจะเลือก (เช่น หากวิเคราะห์ 5 นาที อาจเลือก Expiry time ที่ 15 นาที)
**การระบุเงื่อนไขการเข้า:** รอให้สัญญาณทางเทคนิคปรากฏตามกลยุทธ์ที่คุณฝึกฝน เช่น ราคาทะลุแนวต้านที่แข็งแกร่ง หรือ RSI กลับตัวจากโซนขายมากเกินไป
**การกำหนดราคาใช้สิทธิ:** ตรวจสอบว่าราคาใช้สิทธิที่โบรกเกอร์เสนอมีความเหมาะสมหรือไม่ (เช่น หากคาดว่าจะขึ้น ควรเลือก Call Option ที่ราคาใช้สิทธิอยู่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันเล็กน้อย เพื่อเพิ่มโอกาสในการ In-the-money)
**การกำหนดขนาดตำแหน่ง:** คำนวณจำนวนเงินลงทุนตามกฎ Position sizing (เช่น 2% ของบัญชี)
**การยืนยันการซื้อขาย:** เปิดสัญญา Call หรือ Put ที่ต้องการ

ขั้นตอนการออก (Exit)

ในไบนารี่ออปชัน การออกจากการซื้อขายจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อถึง Expiry time อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อขายต้องเข้าใจว่าการ "ออก" ในแง่ของการจัดการความเสี่ยงคือการตัดสินใจว่าจะไม่เข้าซื้อขายเพิ่มอีกในรอบนั้นๆ หากการซื้อขายก่อนหน้าไม่เป็นไปตามที่คาด

**การจัดการสัญญาที่กำลังดำเนินอยู่ (ถ้ามีฟังก์ชัน Close Early):** บางแพลตฟอร์ม เช่น IQ Option อาจมีตัวเลือกให้ปิดสัญญาก่อนหมดอายุ (Early Close) ซึ่งมักจะทำให้คุณได้รับเงินคืนบางส่วน (น้อยกว่าเงินลงทุน) หรืออาจได้กำไรเล็กน้อยหากราคาวิ่งไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว การใช้ฟังก์ชันนี้ต้องอยู่ภายใต้การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด เพราะการปิดเร็วเกินไปอาจทำให้เสียโอกาสทำกำไรเต็มจำนวน
**การยอมรับผลลัพธ์:** เมื่อสัญญาหมดอายุ คุณต้องยอมรับผลลัพธ์ทันที ไม่ว่าจะเป็น In-the-money หรือ Out-of-the-money จากนั้นบันทึกผลลัพธ์ลงใน Trading journal เพื่อประเมินประสิทธิภาพ

การประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง

การซื้อขายไบนารี่ออปชันเป็นเกมที่มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) ที่ไม่เป็นไปตามแบบดั้งเดิม เพราะความเสี่ยงสูงสุดคือ 100% ของการลงทุน แต่ผลตอบแทนมักอยู่ที่ 70% ถึง 95%

อัตราการชนะที่จำเป็น

เพื่อให้การซื้อขายแบบนี้มีกำไรในระยะยาว คุณต้องมีอัตราการชนะ (Win Rate) ที่สูงกว่าจุดคุ้มทุน

สมมติฐาน:

การลงทุนต่อครั้ง: 100 บาท
Payout: 80% (กำไร 80 บาท)
ความเสี่ยงต่อครั้ง: 100 บาท (ขาดทุน 100 บาท)

| อัตราการชนะ | ผลลัพธ์สุทธิ (ต่อ 10 การซื้อขาย) | ความหมาย |

จากตารางนี้ จะเห็นได้ว่าในการซื้อขายที่มี Payout ประมาณ 80% ผู้ซื้อขายจำเป็นต้องมีอัตราการชนะที่ **สูงกว่า 55.5%** เพื่อให้คุ้มทุน และต้องชนะประมาณ **60%** ขึ้นไปจึงจะเริ่มสร้างกำไรที่มั่นคงได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการจัดการความเสี่ยงและการเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์จึงสำคัญอย่างยิ่ง วินัยและจิตวิทยาในการซื้อขายไบนารี่ออปชัน

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการกำหนดราคาและการจัดการความเสี่ยง

มือใหม่มักจะทำผิดพลาดซ้ำๆ เกี่ยวกับสองหัวข้อนี้ ซึ่งนำไปสู่การล้างบัญชีอย่างรวดเร็ว

ข้อผิดพลาดด้านการกำหนดราคาและการเข้าซื้อขาย

**การเพิกเฉยต่อความผันผวน:** การซื้อขายในช่วงที่มีข่าวสำคัญ (เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย) ทำให้ราคาเคลื่อนไหวรุนแรงเกินกว่าที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะคาดเดาได้ ทำให้การคาดการณ์ทิศทางใน Expiry time สั้นๆ ผิดพลาดได้ง่าย
**การเลือก Expiry Time ที่สั้นเกินไป:** การพยายามทำกำไรเร็วด้วยการเลือกสัญญา 1 นาที โดยไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสมและประสบการณ์ในการอ่านความผันผวนระยะสั้น
**การซื้อขายตามกระแสโดยไม่มีเหตุผล:** การเข้าซื้อขายเพียงเพราะเห็นว่าคนอื่นกำลังชนะ หรือเพราะสินทรัพย์นั้นกำลังขึ้นหรือลงอย่างรุนแรง โดยไม่ได้รอสัญญาณยืนยันที่ชัดเจนจากกลยุทธ์

ข้อผิดพลาดด้านการจัดการความเสี่ยง

**การลงทุนมากเกินไป:** การลงทุน 20% หรือ 50% ของบัญชีในการซื้อขายเดียว เพราะคิดว่ามั่นใจมาก นี่คือการพนัน ไม่ใช่การซื้อขาย
**การไม่บันทึกผล:** การไม่ใช้ Trading journal ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่ากลยุทธ์ใดใช้ได้ผลจริง และทำให้ไม่สามารถปรับปรุงการ Position sizing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
**การพยายามกู้คืนเงินที่เสียไป:** เมื่อขาดทุนตามขีดจำกัดรายวันแล้ว กลับเพิ่มขนาดการลงทุนเป็นสองเท่าเพื่อพยายามให้ได้เงินคืนอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะนำไปสู่การขาดทุนที่มากขึ้น

การประเมินความเสี่ยงด้วยการทดสอบย้อนหลังอย่างง่าย (Backtesting Idea)

ก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง การทดสอบกลยุทธ์ของคุณกับข้อมูลในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ วิธีการทดสอบย้อนหลังอย่างง่ายสำหรับไบนารี่ออปชันมีดังนี้:

**เลือกสินทรัพย์และกรอบเวลา:** เช่น คู่ EUR/USD บนกราฟ 5 นาที
**กำหนดกลยุทธ์:** เช่น "เข้าซื้อ Call เมื่อแท่งเทียนปิดเหนือแนวต้าน และ RSI (14) อยู่เหนือ 50"
**กำหนด Expiry Time:** เช่น 3 เท่าของกรอบเวลา (ถ้าใช้กราฟ 5 นาที ให้เลือก Expiry 15 นาที)
**การจำลอง:** เลื่อนดูกราฟย้อนหลัง (เช่น 100 แท่งเทียนล่าสุด) และบันทึกผลลัพธ์ทุกครั้งที่เกิดสัญญาณตามกลยุทธ์
**การบันทึกผล:** บันทึกว่าสัญญาณนั้นนำไปสู่การเป็น In-the-money หรือ Out-of-the-money

ครั้งที่	สัญญา	สัญญาณที่เกิด	ผลลัพธ์	กำไร/ขาดทุน
1	Call	ทะลุแนวต้าน + RSI > 50	ชนะ	+80 บาท
2	Put	RSI กลับตัวลง	แพ้	-100 บาท
3	Call	ทะลุแนวต้าน + RSI > 50	ชนะ	+80 บาท

การทดสอบย้อนหลังนี้จะช่วยให้คุณทราบอัตราการชนะโดยประมาณของกลยุทธ์ และช่วยกำหนดว่าคุณสามารถเสี่ยงได้กี่เปอร์เซ็นต์ต่อการซื้อขาย (อ้างอิงจากอัตราการชนะที่ต้องการเพื่อทำกำไร)

สรุปความคาดหวังที่เป็นจริง

ไบนารี่ออปชันไม่ใช่ทางลัดสู่ความร่ำรวย แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ต้องใช้ความรู้และการควบคุมตนเองอย่างเข้มงวด

**ความคาดหวัง:** การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ (เช่น 3-5% ต่อเดือน) เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้สำหรับผู้ที่มีวินัยและกลยุทธ์ที่ดี
**ความเสี่ยง:** ความเสี่ยงคือการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในการซื้อขายแต่ละครั้ง ดังนั้น การควบคุมขนาดการลงทุนจึงสำคัญที่สุด การบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่งการซื้อขาย
**ความสม่ำเสมอ:** การซื้อขายที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการทำซ้ำตามแผนอย่างเคร่งครัด การพยายามทำกำไรก้อนใหญ่ในเวลาอันสั้นคือเส้นทางสู่ความล้มเหลว

การทำความเข้าใจว่าราคาใช้สิทธิและ Payout กำหนดผลลัพธ์อย่างไร และการประยุกต์ใช้ การบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่งการซื้อขาย อย่างเคร่งครัด คือกุญแจสำคัญในการอยู่รอดในตลาดนี้

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การกำหนดราคาและการจัดการความเสี่ยงต่อการลงทุน

Contents