กลยุทธ์ Long ใน Futures
- กลยุทธ์ Long ใน Futures
บทนำ
Futures หรือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทุนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไร หรือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน ทองคำ ข้าวโพด) ดัชนีหุ้น (S&P 500, SET50) หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กลยุทธ์ Long ใน Futures เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่นักลงทุนจำนวนมากใช้เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มราคาขาขึ้น (Uptrend) บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์ Long ใน Futures ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ความเสี่ยง ข้อดีข้อเสีย ไปจนถึงวิธีการนำไปประยุกต์ใช้จริง รวมถึงการใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ
ความหมายของกลยุทธ์ Long ใน Futures
กลยุทธ์ Long ใน Futures หมายถึง การซื้อสัญญา Futures โดยคาดหวังว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้นจริง นักลงทุนจะสามารถขายสัญญา Futures ในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา ทำให้ได้กำไรจากส่วนต่างของราคา (Price Difference)
การทำ Long Futures เปรียบเสมือนการ "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" กล่าวคือ นักลงทุนไม่ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนของสินทรัพย์อ้างอิงในทันที แต่จะจ่ายเพียงเงินมัดจำ (Margin) ซึ่งมักจะคิดเป็นสัดส่วนเล็กน้อยของมูลค่าสัญญา หากราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ เงินมัดจำนี้จะถูกใช้เป็นหลักประกันในการทำกำไร แต่หากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง นักลงทุนจะต้องเติมเงินมัดจำเพิ่ม (Margin Call) เพื่อรักษาสัญญาเอาไว้
หลักการทำงานของกลยุทธ์ Long
เพื่อให้เข้าใจหลักการทำงานของกลยุทธ์ Long ใน Futures ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้:
สมมติว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า นักลงทุนจึงตัดสินใจซื้อสัญญา Futures ทองคำ (Gold Futures) ที่ราคา 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีจำนวนสัญญา 1 สัญญา (ซึ่งโดยทั่วไปจะคิดเป็นทองคำ 100 ออนซ์) และต้องวางเงินมัดจำ 5% ของมูลค่าสัญญา (เท่ากับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
- **กรณีที่ 1: ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น**
* ในอีก 3 เดือนต่อมา ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเป็น 2,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ * นักลงทุนสามารถขายสัญญา Futures ทองคำในราคา 2,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ * กำไรที่ได้ = (2,100 - 2,000) ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ * 100 ออนซ์ = 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- **กรณีที่ 2: ราคาทองคำปรับตัวลดลง**
* ในอีก 3 เดือนต่อมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงเป็น 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ * นักลงทุนสามารถขายสัญญา Futures ทองคำในราคา 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ * ขาดทุนที่เกิดขึ้น = (1,900 - 2,000) ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ * 100 ออนซ์ = -10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ Long ใน Futures สามารถสร้างผลกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้น และอาจทำให้เกิดการขาดทุนได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลง
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Long
- ข้อดี:**
- **โอกาสในการทำกำไรสูง:** หากการคาดการณ์ถูกต้อง กลยุทธ์ Long สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมาก เนื่องจาก Futures มีลักษณะของการ Leverage (การใช้เงินทุนน้อยเพื่อควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูง)
- **ความยืดหยุ่น:** สามารถเลือกซื้อสัญญา Futures ของสินทรัพย์อ้างอิงที่หลากหลายตามความสนใจและความเชี่ยวชาญของนักลงทุน
- **การป้องกันความเสี่ยง:** สามารถใช้กลยุทธ์ Long เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิงได้ เช่น ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์อาจใช้กลยุทธ์ Long เพื่อล็อคราคาขายในอนาคต
- **สภาพคล่องสูง:** ตลาด Futures มีสภาพคล่องสูง ทำให้สามารถซื้อขายสัญญาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- ข้อเสีย:**
- **ความเสี่ยงสูง:** Leverage อาจทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน
- **Margin Call:** หากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง นักลงทุนอาจถูกเรียกให้เติมเงินมัดจำ (Margin Call) ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดทุนที่มากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้
- **ความผันผวนของราคา:** ตลาด Futures มีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก
- **ค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่น:** การซื้อขาย Futures มีค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรโดยรวม
การวิเคราะห์เพื่อใช้กลยุทธ์ Long
การตัดสินใจใช้กลยุทธ์ Long ใน Futures ควรพิจารณาจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ทั้งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)
- **การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน:** พิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น อุปสงค์และอุปทาน สภาพเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
- **การวิเคราะห์ทางเทคนิค:** ใช้เครื่องมือและรูปแบบต่างๆ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาและหาจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม เช่น
* **แนวโน้ม (Trend):** ระบุแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ที่ชัดเจน * **เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average):** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้าน * **ดัชนี RSI (Relative Strength Index):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและหาจุดซื้อขายที่เหมาะสม * **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและหาจุดซื้อขาย * **Fibonacci Retracement:** ใช้เพื่อหาแนวรับแนวต้านที่เป็นไปได้ * **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคาและหาจุดซื้อขาย
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) ก็มีความสำคัญในการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและหาจุดเข้าซื้อขายที่น่าเชื่อถือ
การจัดการความเสี่ยงในการใช้กลยุทธ์ Long
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้กลยุทธ์ Long ใน Futures เพื่อลดโอกาสในการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น:
- **กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม:** ไม่ควรลงทุนด้วยเงินทุนทั้งหมดที่มีในการซื้อขาย Futures เพียงครั้งเดียว ควรกำหนดขนาด Position ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- **ตั้ง Stop-Loss Order:** กำหนดระดับราคาที่ยอมรับได้ในการขาดทุน และตั้ง Stop-Loss Order เพื่อปิด Position อัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับนั้น
- **ใช้ Trailing Stop:** ปรับระดับ Stop-Loss Order ให้สูงขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา เพื่อล็อคกำไรและลดความเสี่ยง
- **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ควรลงทุนใน Futures เพียงสินทรัพย์อ้างอิงเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อ้างอิงอื่นๆ
- **ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด:** เพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
กลยุทธ์ Long ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ
กลยุทธ์ Long สามารถนำไปผสมผสานกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยง เช่น:
- **Long Scalping:** การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาเล็กน้อย
- **Long Swing Trading:** การถือ Position นานขึ้นเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มระยะกลาง
- **Long Position with Options:** การใช้ Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- **Pyramiding:** การเพิ่มขนาด Position เมื่อราคาเคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดการณ์ไว้
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Long
สมมติว่านักลงทุนวิเคราะห์ตลาดน้ำมันดิบและพบว่าราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนจึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์ Long ใน Futures น้ำมันดิบ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- **สินทรัพย์อ้างอิง:** น้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate)
- **สัญญา Futures:** น้ำมันดิบ WTI เดือนหน้า (e.g., CLU3)
- **ราคาเข้าซื้อ:** 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
- **จำนวนสัญญา:** 2 สัญญา (เทียบเท่า 200 บาร์เรล)
- **เงินมัดจำ:** 5% ของมูลค่าสัญญา
- **Stop-Loss Order:** 78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
- **เป้าหมายกำไร:** 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
หากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นถึง 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นักลงทุนจะขายสัญญา Futures และทำกำไรได้ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล * 200 บาร์เรล = 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ข้อควรระวัง
การซื้อขาย Futures มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การใช้กลยุทธ์ Long ใน Futures ควรทำอย่างรอบคอบและมีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
สรุป
กลยุทธ์ Long ใน Futures เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่สามารถสร้างผลกำไรได้เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ตลาดและการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การผสมผสานกลยุทธ์ Long กับกลยุทธ์อื่นๆ และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้
การซื้อขาย Futures การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การจัดการความเสี่ยง Leverage Margin Call แนวโน้มราคา เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ดัชนี RSI MACD Fibonacci Retracement Bollinger Bands Volume Analysis Long Scalping Long Swing Trading Options Trading Binary Options Hedging Futures Contract Specifications Risk Management in Futures Trading Technical Indicators Trading Psychology
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
