กลยุทธ์การลงทุนแบบ Protective Put Buying
(ประมาณ 8000 โทเค็น)
- กลยุทธ์การลงทุนแบบ Protective Put Buying
บทความนี้จะอธิบายถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบ Protective Put Buying อย่างละเอียด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจในการลงทุนใน ไบนารี่ออปชั่น และต้องการเรียนรู้กลยุทธ์การลดความเสี่ยงที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง กลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเนื่องจากช่วยจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่ยังคงได้รับประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของราคา
- ความหมายของ Protective Put Buying
Protective Put Buying หรือที่เรียกว่า Hedging Put คือกลยุทธ์ที่นักลงทุนซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) ในสินทรัพย์อ้างอิงที่ตนเองถืออยู่ โดยปกติแล้ว นักลงทุนจะใช้กลยุทธ์นี้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น แต่ก็ต้องการป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ราคาปรับตัวลงอย่างไม่คาดคิด
- หลักการทำงาน:**
- นักลงทุนถือครองสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือสกุลเงิน
- นักลงทุนซื้อ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง
- หากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้น นักลงทุนจะได้รับกำไรจากสินทรัพย์อ้างอิง และ Put Option จะหมดมูลค่าโดยไม่มีการใช้สิทธิ
- หากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลง นักลงทุนจะสูญเสียกำไรจากสินทรัพย์อ้างอิง แต่ Put Option จะถูกใช้สิทธิ ซึ่งจะช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น
- ทำไมต้องใช้กลยุทธ์ Protective Put Buying?
กลยุทธ์นี้มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่:
- **ต้องการป้องกันความเสี่ยง:** เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากราคาที่ปรับตัวลง
- **เชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาว:** เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าสินทรัพย์อ้างอิงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในระยะยาว แต่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในระยะสั้น
- **ถือครองสินทรัพย์ระยะยาว:** ช่วยลดความกังวลในการถือครองสินทรัพย์ระยะยาวในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
- **ต้องการสร้างกระแสเงินสด:** สามารถใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับ Covered Call เพื่อสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติม
- ขั้นตอนการใช้งานกลยุทธ์ Protective Put Buying ในไบนารี่ออปชั่น
แม้ว่า Protective Put Buying จะเป็นกลยุทธ์ที่มักใช้ในตลาดออปชั่นมาตรฐาน แต่แนวคิดเดียวกันนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในไบนารี่ออปชั่นได้ โดยการเลือกซื้อไบนารี่ Put Option ที่มีวันหมดอายุ (Expiry Date) และราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่เหมาะสม
1. **เลือกสินทรัพย์อ้างอิง:** เลือกสินทรัพย์อ้างอิงที่คุณถือครองและต้องการป้องกันความเสี่ยง 2. **วิเคราะห์แนวโน้ม:** ศึกษาแนวโน้มของสินทรัพย์อ้างอิงโดยใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การดู แนวรับ แนวต้าน และ รูปแบบแท่งเทียน รวมถึง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อประเมินโอกาสในการปรับตัวขึ้นของราคา 3. **เลือก Put Option:** เลือก Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง และมีวันหมดอายุที่เหมาะสมกับระยะเวลาที่คุณต้องการป้องกันความเสี่ยง 4. **กำหนดขนาดการลงทุน:** กำหนดขนาดการลงทุนใน Put Option ให้เหมาะสมกับปริมาณสินทรัพย์อ้างอิงที่คุณถือครอง โดยทั่วไปแล้ว อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 1:1 (เช่น หากคุณถือหุ้น 100 หุ้น คุณควรซื้อ Put Option 1 สัญญา) 5. **ติดตามผลการลงทุน:** ติดตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิงและ Put Option อย่างสม่ำเสมอ และปรับกลยุทธ์ตามความเหมาะสม
- ตัวอย่างการใช้งานกลยุทธ์ Protective Put Buying
สมมติว่าคุณถือหุ้นของบริษัท ABC อยู่ 100 หุ้น โดยราคาปัจจุบันของหุ้นอยู่ที่ 100 บาทต่อหุ้น คุณเชื่อว่าหุ้นตัวนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นในระยะยาว แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น
คุณจึงตัดสินใจซื้อ Put Option ของหุ้น ABC จำนวน 1 สัญญา โดยมีราคาใช้สิทธิที่ 98 บาท และวันหมดอายุอีก 1 เดือน ค่าพรีเมียมของ Put Option คือ 2 บาทต่อหุ้น (รวม 200 บาทสำหรับ 1 สัญญา)
- สถานการณ์ที่ 1: ราคาหุ้น ABC ปรับตัวขึ้น**
หากราคาหุ้น ABC ปรับตัวขึ้นเป็น 110 บาทต่อหุ้นเมื่อ Put Option หมดอายุ Put Option จะหมดมูลค่าโดยไม่มีการใช้สิทธิ คุณจะได้รับกำไรจากหุ้น ABC จำนวน 100 หุ้น (10 บาทต่อหุ้น x 100 หุ้น = 1000 บาท) และขาดทุนจากค่าพรีเมียมของ Put Option จำนวน 200 บาท ทำให้กำไรสุทธิของคุณคือ 800 บาท
- สถานการณ์ที่ 2: ราคาหุ้น ABC ปรับตัวลง**
หากราคาหุ้น ABC ปรับตัวลงเป็น 90 บาทต่อหุ้นเมื่อ Put Option หมดอายุ Put Option จะถูกใช้สิทธิในราคา 98 บาทต่อหุ้น คุณจะขาดทุนจากหุ้น ABC จำนวน 100 หุ้น (10 บาทต่อหุ้น x 100 หุ้น = 1000 บาท) แต่จะได้รับกำไรจาก Put Option จำนวน 800 บาท (10 บาทต่อหุ้น x 100 หุ้น - 200 บาทค่าพรีเมียม) ทำให้การขาดทุนสุทธิของคุณลดลงเหลือเพียง 200 บาท
- ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Protective Put Buying
- ข้อดี:**
- **จำกัดความเสี่ยง:** ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากราคาที่ปรับตัวลง
- **รักษาผลกำไร:** ช่วยรักษาผลกำไรที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิง
- **ความยืดหยุ่น:** สามารถปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ตลาด
- **เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว:** ช่วยลดความกังวลในการถือครองสินทรัพย์ระยะยาว
- ข้อเสีย:**
- **มีค่าใช้จ่าย:** ต้องเสียค่าพรีเมียมในการซื้อ Put Option
- **ลดผลกำไร:** หากราคาปรับตัวขึ้น ค่าพรีเมียมที่จ่ายไปจะทำให้ผลกำไรลดลง
- **ความซับซ้อน:** อาจมีความซับซ้อนในการเลือก Put Option ที่เหมาะสม
- **ไม่ใช่การป้องกันความเสี่ยงแบบสมบูรณ์:** การป้องกันความเสี่ยงไม่สมบูรณ์แบบ ขึ้นอยู่กับราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุของ Put Option
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- Covered Call: กลยุทธ์การขาย Call Option เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม
- Straddle: กลยุทธ์การซื้อทั้ง Call และ Put Option เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคา
- Strangle: คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน
- Bull Call Spread: กลยุทธ์การซื้อ Call Option และขาย Call Option ที่มีราคาใช้สิทธิสูงกว่า
- Bear Put Spread: กลยุทธ์การซื้อ Put Option และขาย Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิต่ำกว่า
- Collar: กลยุทธ์การผสมผสานระหว่าง Covered Call และ Protective Put
- Long Straddle: กลยุทธ์การซื้อ Call และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน
- Short Straddle: กลยุทธ์การขาย Call และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน
- Iron Condor: กลยุทธ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับการขาย Call และ Put Option และซื้อ Call และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน
- Butterfly Spread: กลยุทธ์ที่ใช้ในการคาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ
- Volatility Trading: การซื้อขายออปชั่นโดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงของความผันผวน
- Delta Hedging: การปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรักษาสมดุลของ Delta
- Gamma Scalping: การซื้อขายเพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของ Gamma
- Theta Decay: การทำความเข้าใจผลกระทบของการลดลงของมูลค่าตามเวลาของออปชั่น
- Implied Volatility: การวิเคราะห์ความผันผวนที่ตลาดคาดการณ์ไว้
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปริมาณการซื้อขายที่เกี่ยวข้อง
- Moving Averages: การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุแนวโน้ม
- Relative Strength Index (RSI): การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- MACD: การใช้ Moving Average Convergence Divergence เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
- Bollinger Bands: การใช้แถบ Bollinger เพื่อวัดความผันผวน
- Fibonacci Retracements: การใช้ Fibonacci Retracements เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน
- Volume Analysis: การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้ม
- Order Flow: การวิเคราะห์การไหลของคำสั่งซื้อขายเพื่อทำความเข้าใจแรงซื้อขายในตลาด
- Candlestick Patterns: การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนเพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
- Chart Patterns: การวิเคราะห์รูปแบบกราฟเพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
- Support and Resistance Levels: การระบุแนวรับและแนวต้านเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
- สรุป
กลยุทธ์ Protective Put Buying เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงขาลงในสินทรัพย์อ้างอิงที่ตนเองถืออยู่ แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่าย แต่ก็ช่วยจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและรักษาผลกำไรที่ได้จากการลงทุน การทำความเข้าใจหลักการทำงาน ข้อดีข้อเสีย และวิธีการใช้งานกลยุทธ์นี้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนใน ไบนารี่ออปชั่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[[Category:การลงทุนใน Dig
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
