Swing trading

1. Swing Trading

Swing trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดการเงิน รวมถึงตลาด ไบนารี่ออปชั่น ด้วย โดยเป็นการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะกลาง บทความนี้จะอธิบายหลักการพื้นฐานของ Swing Trading อย่างละเอียด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการซื้อขาย

หลักการพื้นฐานของ Swing Trading

Swing Trading แตกต่างจากการซื้อขายระยะสั้น (Day Trading) ที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคาภายในวันเดียว และแตกต่างจากการลงทุนระยะยาว (Position Trading) ที่เน้นการถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี Swing Trading มุ่งเน้นการจับ “Swing” หรือช่วงการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากเกิดการปรับฐาน (Pullback) หรือการทะลุแนวต้าน (Breakout)

หัวใจสำคัญของ Swing Trading คือการระบุแนวโน้ม (Trend) ของราคา และรอจังหวะการเข้าซื้อหรือขายเมื่อราคาปรับตัวเข้าใกล้แนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ตามลำดับ โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับไปในทิศทางของแนวโน้มเดิม

ข้อดีและข้อเสียของ Swing Trading

เช่นเดียวกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ Swing Trading มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้

ข้อดี:*

**โอกาสในการทำกำไรสูง:** Swing Trading สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนระยะยาวได้ หากนักลงทุนสามารถระบุ Swing ได้อย่างแม่นยำ
**ใช้เวลาน้อยกว่า Day Trading:** ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาเหมือน Day Trading สามารถวิเคราะห์กราฟในช่วงเวลาที่กำหนด และตั้งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าได้
**ความเสี่ยงต่ำกว่า Day Trading:** เนื่องจากถือครองสินทรัพย์นานกว่า Day Trading จึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในระยะสั้นน้อยกว่า
**เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น:** Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจมากกว่ากลยุทธ์อื่นๆ

ข้อเสีย:*

**ต้องใช้ความอดทน:** การรอจังหวะการเข้าซื้อขายที่เหมาะสมอาจต้องใช้ความอดทนอย่างมาก
**ความเสี่ยงจากการ Gap:** หากราคาเปิดในวันถัดไปมีช่องว่าง (Gap) อาจทำให้เกิดการขาดทุนได้ หากราคา Gap ข้ามแนวรับหรือแนวต้านที่ตั้งไว้
**ต้องวิเคราะห์กราฟเป็นประจำ:** แม้จะไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ยังคงต้องวิเคราะห์กราฟเป็นประจำเพื่อติดตามแนวโน้มและปรับกลยุทธ์
**ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย:** การซื้อขายหลายครั้งอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายมากขึ้น

เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ใน Swing Trading

Swing Trader จะใช้เครื่องมือและเทคนิคต่างๆ เพื่อวิเคราะห์กราฟและระบุจังหวะการเข้าซื้อขายที่เหมาะสม เครื่องมือและเทคนิคที่สำคัญมีดังนี้:

**การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** เป็นการศึกษาข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีต เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่:

   *   **แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance):** ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการหยุดพักหรือกลับตัวของราคา
   *   **เส้นแนวโน้ม (Trend Lines):** เส้นที่เชื่อมจุดสูงสุด (High) หรือจุดต่ำสุด (Low) ของราคา เพื่อแสดงแนวโน้มของราคา
   *   **รูปแบบกราฟ (Chart Patterns):** รูปแบบที่เกิดจากราคาในอดีต ซึ่งสามารถใช้คาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตได้ เช่น Head and Shoulders, Double Top, Double Bottom
   *   **ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators):** สูตรทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขาย เช่น Moving Average, MACD, RSI, Bollinger Bands

**การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** เป็นการศึกษาปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและสัญญาณที่ได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค
**การบริหารความเสี่ยง (Risk Management):** เป็นการกำหนดขนาดของการลงทุน (Position Size) และการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการซื้อขาย
**การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis):** การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อราคา

กลยุทธ์ Swing Trading ที่นิยมใช้

มีกลยุทธ์ Swing Trading มากมายที่นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ กลยุทธ์ที่นิยมใช้มีดังนี้:

1. **Pullback Trading:** เป็นการเข้าซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงมาในช่วงแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) หรือขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาในช่วงแนวโน้มขาลง (Downtrend) โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับไปในทิศทางของแนวโน้มเดิม กลยุทธ์นี้มักใช้ร่วมกับแนวรับและแนวต้าน 2. **Breakout Trading:** เป็นการเข้าซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป หรือขายเมื่อราคาทะลุแนวรับลงมา โดยคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางของการทะลุ กลยุทธ์นี้มักใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการทะลุ 3. **Trend Following:** เป็นการเข้าซื้อหรือขายตามแนวโน้มของราคา โดยใช้เครื่องมือเช่น Moving Average เพื่อระบุแนวโน้ม กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน 4. **Fibonacci Retracement:** การใช้ระดับ Fibonacci เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา 5. **Harmonic Patterns:** การใช้รูปแบบกราฟที่ซับซ้อนเพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา เช่น Butterfly, Bat, Crab 6. **Inside Bar Strategy:** การระบุแท่งเทียน (Candlestick) ที่มีช่วงราคาน้อยกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า เพื่อรอการทะลุ 7. **Pin Bar Strategy:** การระบุแท่งเทียนที่มีหางยาว ซึ่งบ่งบอกถึงแรงกดดันในการซื้อหรือขายที่แข็งแกร่ง 8. **Engulfing Pattern Strategy:** การระบุแท่งเทียนที่กลืนแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม 9. **Three White Soldiers/Black Crows:** การระบุรูปแบบแท่งเทียนต่อเนื่องที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม 10. **Morning Star/Evening Star:** การระบุรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม 11. **Donchian Channels:** การใช้ช่องสัญญาณเพื่อระบุการ Breakout 12. **Keltner Channels:** การใช้ช่องสัญญาณเพื่อระบุความผันผวน 13. **Ichimoku Cloud:** การใช้ระบบ Ichimoku เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้าน 14. **Pivot Point Strategy:** การใช้จุด Pivot เพื่อระบุระดับแนวรับแนวต้าน 15. **VWAP (Volume Weighted Average Price):** การใช้ราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขายเพื่อระบุระดับราคาที่สำคัญ

การประยุกต์ใช้ Swing Trading กับไบนารี่ออปชั่น

แม้ว่า Swing Trading จะเป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในตลาด Forex และหุ้น แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น ได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการทำกำไรและระยะเวลาการถือครองให้เหมาะสมกับลักษณะของไบนารี่ออปชั่น

ตัวอย่างเช่น ในไบนารี่ออปชั่น เราสามารถใช้กลยุทธ์ Pullback Trading โดยการเข้าซื้อ Call Option เมื่อราคาปรับตัวลงมาในช่วงแนวโน้มขาขึ้น และคาดหวังว่าราคาจะกลับขึ้นไปในทิศทางเดิมก่อนหมดอายุของ Option หรือเข้าขาย Put Option เมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาในช่วงแนวโน้มขาลง และคาดหวังว่าราคาจะกลับลงมาในทิศทางเดิมก่อนหมดอายุของ Option

การเลือกกรอบเวลา (Timeframe) ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ Swing Trading กับไบนารี่ออปชั่น กรอบเวลาที่นิยมใช้ ได้แก่ 15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง และ 4 ชั่วโมง

การบริหารความเสี่ยงในการ Swing Trading

การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการ Swing Trading โดยนักลงทุนควรปฏิบัติตามหลักการดังนี้:

**กำหนดขนาดของการลงทุน (Position Size):** ไม่ควรลงทุนเกิน 2-5% ของเงินทุนทั้งหมดในแต่ละการซื้อขาย
**ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** กำหนดระดับราคาที่ยอมรับได้หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ และตั้งคำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยง
**ตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit):** กำหนดระดับราคาที่ต้องการทำกำไร และตั้งคำสั่ง Take Profit เพื่อล็อคผลกำไร
**กระจายความเสี่ยง (Diversification):** ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
**ควบคุมอารมณ์ (Emotional Control):** ไม่ควรตัดสินใจซื้อขายด้วยอารมณ์ ควรยึดตามแผนการซื้อขายที่กำหนดไว้

สรุป

Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะกลาง โดยการเรียนรู้หลักการพื้นฐาน เครื่องมือ และเทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการซื้อขาย Swing Trading ได้

ดูเพิ่มเติม

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น