ออปชั่น Call
- ออปชั่น Call
ออปชั่น Call เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่งที่อนุญาตให้ผู้ซื้อมีสิทธิ (แต่ไม่ใชหน้าที่) ในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (เรียกว่า วันหมดอายุ หรือ Expiration Date) บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับออปชั่น Call สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงกลไกการทำงาน, ปัจจัยที่มีผลต่อราคา, กลยุทธ์การเทรด, และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับออปชั่น
ก่อนที่จะเจาะลึกเรื่องออปชั่น Call เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับพื้นฐานของ ออปชั่น ก่อน ออปชั่นเป็นสัญญาที่มีผู้ขาย (Writer) และผู้ซื้อ (Holder) ผู้ขายออปชั่นมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา หากผู้ซื้อใช้สิทธิในการออปชั่น ในขณะที่ผู้ซื้อมีสิทธิแต่ไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิในการออปชั่น
ออปชั่นแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
- ออปชั่น Call (Call Option): ให้สิทธิในการซื้อ
- ออปชั่น Put (Put Option): ให้สิทธิในการขาย
บทความนี้จะเน้นที่ออปชั่น Call เท่านั้น
กลไกการทำงานของออปชั่น Call
สมมติว่าคุณเชื่อว่าราคาของหุ้นบริษัท ABC จะเพิ่มขึ้นในอนาคต คุณสามารถซื้อออปชั่น Call ของหุ้น ABC ได้ โดยระบุราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุ
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) คือราคาที่คุณสามารถซื้อหุ้น ABC ได้หากคุณใช้สิทธิในการออปชั่น
- วันหมดอายุ (Expiration Date) คือวันที่สิ้นสุดของสัญญาออปชั่น หลังจากวันหมดอายุ ออปชั่นจะหมดมูลค่า
- ตัวอย่าง:**
คุณซื้อออปชั่น Call ของหุ้น ABC ที่มีราคาใช้สิทธิ 100 บาท และวันหมดอายุอีก 1 เดือน สมมติว่าคุณจ่ายค่าพรีเมียม (Premium) 5 บาทต่อหุ้น
- **สถานการณ์ที่ 1: ราคาหุ้น ABC เพิ่มขึ้นเป็น 110 บาท ณ วันหมดอายุ**
* คุณสามารถใช้สิทธิในการซื้อหุ้น ABC ในราคา 100 บาท แล้วขายในตลาดที่ราคา 110 บาท ทำให้ได้กำไร 10 บาทต่อหุ้น (ก่อนหักค่าพรีเมียม) * กำไรสุทธิ = 10 บาท (กำไรจากราคาหุ้น) - 5 บาท (ค่าพรีเมียม) = 5 บาทต่อหุ้น
- **สถานการณ์ที่ 2: ราคาหุ้น ABC ลดลงเป็น 90 บาท ณ วันหมดอายุ**
* คุณจะไม่ใช้สิทธิในการซื้อหุ้น ABC ในราคา 100 บาท เพราะคุณสามารถซื้อในตลาดได้ในราคา 90 บาท * คุณจะเสียค่าพรีเมียม 5 บาทต่อหุ้น
ส่วนประกอบของราคาออปชั่น Call
ราคาของออปชั่น Call (หรือที่เรียกว่าพรีเมียม) ไม่ได้มาจากมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ:
- ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset Price) – ยิ่งราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาใช้สิทธิมากเท่าไหร่ พรีเมียมก็จะยิ่งสูงขึ้น
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) – ยิ่งราคาใช้สิทธิสูง พรีเมียมก็จะยิ่งต่ำลง
- ระยะเวลาจนถึงวันหมดอายุ (Time to Expiration) – ยิ่งมีระยะเวลาเหลือมาก พรีเมียมก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
- ความผันผวนของราคา (Volatility) – ยิ่งความผันผวนของราคาสูง พรีเมียมก็จะยิ่งสูงขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและอาจทำให้ได้กำไรมากขึ้น
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates) – โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้พรีเมียมสูงขึ้นเล็กน้อย
- เงินปันผล (Dividends) – หากสินทรัพย์อ้างอิงจ่ายเงินปันผล พรีเมียมของออปชั่น Call มักจะลดลง
กลยุทธ์การเทรดออปชั่น Call
มีกลยุทธ์การเทรดออปชั่น Call มากมายที่สามารถนำไปใช้ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณเกี่ยวกับทิศทางของราคาและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้:
- Long Call (ซื้อ Call): เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่คาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเพิ่มขึ้น
- Short Call (ขาย Call): เหมาะสำหรับผู้ที่คาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก หรือจะลดลง
- Covered Call (Call ที่มีหลักทรัพย์): เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคุณเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่แล้ว และต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการขายออปชั่น Call
- Protective Put (ป้องกันด้วย Put): ใช้ร่วมกับออปชั่น Put เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคา
- Straddle (สเตรดเดิล): ซื้อทั้งออปชั่น Call และออปชั่น Put ที่มีราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แต่ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นหรือลง
- Strangle (สเตร็งเกิล): คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิที่แตกต่างกัน เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเช่นกัน แต่ต้องการลดต้นทุน
- Bull Call Spread (สเปรด Call ขึ้น): เป็นกลยุทธ์ที่จำกัดทั้งกำไรและขาดทุน เหมาะสำหรับผู้ที่คาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่มากนัก
- Bear Call Spread (สเปรด Call ลง): เป็นกลยุทธ์ที่จำกัดทั้งกำไรและขาดทุน เหมาะสำหรับผู้ที่คาดการณ์ว่าราคาจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก หรือจะลดลง
นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ อีกมากมายที่ซับซ้อนกว่านี้ เช่น Iron Condor, Butterfly Spread, และ Calendar Spread การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับตลาดและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายออปชั่น Call ไม่ควรขึ้นอยู่กับโชคเท่านั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณประเมินความเป็นไปได้ในการเคลื่อนไหวของราคาได้:
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) – การศึกษาข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตเพื่อทำนายแนวโน้มในอนาคต Moving Averages, Relative Strength Index (RSI), MACD, และ Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) – การศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจ, ธุรกิจ, และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์อ้างอิงเพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมัน
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) – การศึกษาปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้ม และระบุสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม
การจัดการความเสี่ยง
การเทรดออปชั่นมีความเสี่ยงสูงกว่าการเทรดหุ้นโดยตรง การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:
- กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม – อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถเสียได้
- ใช้ Stop-Loss Orders – เพื่อจำกัดการขาดทุนของคุณ
- Diversify – กระจายการลงทุนของคุณไปยังสินทรัพย์หลายประเภท
- เข้าใจถึงผลกระทบของ Time Decay (Theta) – พรีเมียมของออปชั่นจะลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ
- ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคา – เช่น รายงานผลประกอบการ, ข่าวเศรษฐกิจ, และเหตุการณ์ทางการเมือง
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดออปชั่น Call
| ข้อดี | ข้อเสีย | | :------------------------------------------ | :------------------------------------------- | | Leverage สูง: สามารถควบคุมสินทรัพย์จำนวนมากได้ด้วยเงินทุนน้อย | ความเสี่ยงสูง: สามารถสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ | | จำกัดความเสี่ยง: ผู้ซื้อออปชั่นจะเสียเฉพาะค่าพรีเมียม | Time Decay: พรีเมียมจะลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ | | มีโอกาสทำกำไรสูง: หากการคาดการณ์ถูกต้อง | ความซับซ้อน: ต้องมีความเข้าใจในกลไกการทำงานของออปชั่น | | สามารถใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงได้ | ค่าธรรมเนียม: อาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย |
สรุป
ออปชั่น Call เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ Leverage และโอกาสในการทำกำไรสูง อย่างไรก็ตาม การเทรดออปชั่นมีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องมีความเข้าใจในกลไกการทำงาน, กลยุทธ์การเทรด, และการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเทรดออปชั่น
ออปชั่น Put Binary Options การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การจัดการความเสี่ยง กลยุทธ์การเทรดออปชั่น Leverage Time Decay Strike Price Expiration Date Premium Volatility Moving Averages Relative Strength Index (RSI) MACD Fibonacci Retracement Iron Condor Butterfly Spread Calendar Spread การเทรดไบนารี่ออปชั่น
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
