การใช้ Remarketing
- การใช้ Remarketing
บทนำ
การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีความซับซ้อนและมีการแข่งขันสูง การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มอัตราการแปลง (Conversion Rate) และผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment - ROI) คือ **Remarketing** หรือบางครั้งเรียกว่า Retargeting บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ Remarketing สำหรับผู้เริ่มต้น โดยจะครอบคลุมตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน, วิธีการทำงาน, การตั้งค่า, การวัดผล, ไปจนถึงกลยุทธ์ขั้นสูงที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น และการลงทุนอื่นๆ ได้
Remarketing ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับการตลาดโดยตรง แต่สามารถนำหลักการมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ กราฟราคา และ รูปแบบแท่งเทียน เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้อีกด้วย
Remarketing คืออะไร?
Remarketing คือ กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มุ่งเน้นไปที่การแสดงโฆษณาไปยังผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน หรือเนื้อหาออนไลน์ของคุณแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ หรือทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ (เช่น การลงทะเบียน, การดาวน์โหลด) พูดง่ายๆ คือ การ “ตามติด” ผู้ใช้งานที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณ
ต่างจาก การตลาดแบบดึงดูด (Inbound Marketing) ที่เน้นการดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ Remarketing จะมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้ผู้ที่เคยเข้าชมแล้วกลับมาทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
ทำไม Remarketing ถึงสำคัญ?
- **เพิ่มอัตราการแปลง:** ผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้วมีความคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณมากกว่าผู้ที่เพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก ทำให้มีแนวโน้มที่จะแปลงเป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
- **เพิ่มการจดจำแบรนด์:** การแสดงโฆษณาซ้ำๆ ช่วยให้แบรนด์ของคุณอยู่ในความทรงจำของลูกค้า
- **เพิ่ม ROI:** Remarketing มักจะมี ROI ที่สูงกว่าการโฆษณาแบบทั่วไป เนื่องจากคุณกำลังมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจอยู่แล้ว
- **ปรับแต่งข้อความโฆษณา:** คุณสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละรายได้ เช่น แสดงโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขาเคยดู หรือเสนอส่วนลดพิเศษสำหรับสินค้าที่พวกเขาใส่ไว้ในตะกร้าสินค้า
- **การวิเคราะห์เชิงลึก:** เครื่องมือ Remarketing มักจะมาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น
วิธีการทำงานของ Remarketing
1. **การติดตั้ง Pixel หรือ Tag:** ขั้นตอนแรกคือการติดตั้ง Pixel (โค้ดติดตาม) หรือ Tag (ป้ายกำกับ) บนเว็บไซต์ของคุณ Pixel หรือ Tag นี้จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เช่น หน้าที่เข้าชม, สินค้าที่ดู, ระยะเวลาที่อยู่ในเว็บไซต์ 2. **การสร้างกลุ่มเป้าหมาย:** หลังจากติดตั้ง Pixel หรือ Tag แล้ว คุณสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมาย (Audience) โดยอิงตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น ผู้ที่เคยเข้าชมหน้าสินค้า, ผู้ที่เคยใส่สินค้าลงในตะกร้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน, ผู้ที่เคยดาวน์โหลดเอกสาร 3. **การสร้างโฆษณา:** สร้างโฆษณาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม 4. **การแสดงโฆษณา:** ระบบจะแสดงโฆษณาของคุณให้กับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads, Facebook Ads, Twitter Ads 5. **การวัดผลและปรับปรุง:** ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ Remarketing และปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอย่างต่อเนื่อง
ประเภทของ Remarketing
- **Static Remarketing:** แสดงโฆษณาแบบเดิมให้กับผู้ใช้งานทุกคนในกลุ่มเป้าหมาย
- **Dynamic Remarketing:** แสดงโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาโดยอัตโนมัติตามสินค้าที่ผู้ใช้งานเคยดูบนเว็บไซต์ของคุณ (เช่น แสดงภาพสินค้าและราคาที่ผู้ใช้งานเคยดู)
- **Email Remarketing:** ส่งอีเมลไปยังผู้ใช้งานที่เคยให้ข้อมูลติดต่อของคุณ (เช่น ที่อยู่อีเมล) เพื่อแจ้งโปรโมชั่นพิเศษหรือเตือนให้กลับมาทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
- **Video Remarketing:** แสดงโฆษณาที่เป็นวิดีโอให้กับผู้ใช้งานที่เคยดูวิดีโอของคุณบน YouTube หรือเว็บไซต์อื่นๆ
- **Search Remarketing (RLSA):** ปรับปรุงกลยุทธ์การประมูลคำหลัก (Keyword Bidding) ใน Google Ads โดยอิงตามประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน
เครื่องมือ Remarketing ที่นิยมใช้
- **Google Ads Remarketing:** เครื่องมือ Remarketing ที่มาพร้อมกับ Google Ads ซึ่งสามารถใช้แสดงโฆษณาบนเครือข่าย Google Display Network, YouTube และ Google Search
- **Facebook Pixel:** เครื่องมือติดตามที่ใช้ในการสร้างกลุ่มเป้าหมายและแสดงโฆษณาบน Facebook และ Instagram
- **AdRoll:** แพลตฟอร์ม Remarketing ที่ช่วยให้คุณสร้างและจัดการแคมเปญ Remarketing ได้อย่างง่ายดาย
- **Criteo:** แพลตฟอร์ม Remarketing ที่เน้นการแสดงโฆษณา Dynamic Remarketing
- **Perfect Audience:** แพลตฟอร์ม Remarketing ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตั้งค่า Remarketing ใน Google Ads
1. **สร้างบัญชี Google Ads:** หากยังไม่มีบัญชี Google Ads ให้สร้างบัญชีใหม่ 2. **ติดตั้ง Google Ads Tag:** ติดตั้ง Google Ads Tag บนเว็บไซต์ของคุณ (คล้ายกับการติดตั้ง Pixel) 3. **สร้างกลุ่มเป้าหมาย:** สร้างกลุ่มเป้าหมายโดยอิงตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น หน้าที่เข้าชม, ระยะเวลาที่อยู่ในเว็บไซต์, สินค้าที่ดู 4. **สร้างแคมเปญ Remarketing:** สร้างแคมเปญ Remarketing ใหม่และเลือกกลุ่มเป้าหมายที่คุณสร้างไว้ 5. **สร้างโฆษณา:** สร้างโฆษณาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย 6. **ตั้งค่าการประมูลและงบประมาณ:** ตั้งค่าการประมูลและงบประมาณสำหรับแคมเปญของคุณ 7. **ติดตามและปรับปรุง:** ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญและปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอย่างต่อเนื่อง
การวัดผล Remarketing
การวัดผล Remarketing เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณเข้าใจว่าแคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพหรือไม่ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ควรติดตาม ได้แก่:
- **Conversion Rate:** อัตราส่วนของผู้ที่คลิกโฆษณาและทำการซื้อ หรือทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
- **Cost Per Conversion (CPC):** ต้นทุนต่อการแปลงหนึ่งครั้ง
- **Return on Ad Spend (ROAS):** ผลตอบแทนจากการลงทุนโฆษณา
- **Click-Through Rate (CTR):** อัตราส่วนของผู้ที่เห็นโฆษณาและคลิก
- **Impression Share:** สัดส่วนของการแสดงโฆษณาที่คุณได้รับเมื่อเทียบกับจำนวนการแสดงโฆษณาที่อาจเกิดขึ้นได้
กลยุทธ์ขั้นสูงในการใช้ Remarketing
- **Segmenting Audiences:** แบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามพฤติกรรมและความสนใจ เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มได้
- **Frequency Capping:** จำกัดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานแต่ละรายจะเห็นโฆษณาของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนและเพิ่มประสิทธิภาพ
- **Excluding Conversions:** ยกเว้นผู้ที่ทำการซื้อ หรือทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้วออกจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อไม่ให้เสียค่าโฆษณาไปกับผู้ที่ไม่ได้ต้องการ
- **Cross-Selling and Up-Selling:** ใช้ Remarketing เพื่อเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ผู้ใช้งานเคยซื้อ หรือเสนอสินค้าที่มีราคาสูงกว่า
- **Cart Abandonment Remarketing:** แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยใส่สินค้าลงในตะกร้าสินค้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน เพื่อกระตุ้นให้กลับมาทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้น
การประยุกต์ใช้ Remarketing กับการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
แม้ว่า Remarketing จะถูกออกแบบมาสำหรับการตลาดโดยตรง แต่แนวคิดสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ตลาด การเงิน และ การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น ได้ ตัวอย่างเช่น:
- **การระบุแนวรับแนวต้าน:** พิจารณาผู้ที่เคยเข้าชมหน้าที่มีข้อมูลเกี่ยวกับแนวรับแนวต้านเป็น “กลุ่มเป้าหมาย” หากมีการกลับมาดูข้อมูลเดิมซ้ำๆ อาจเป็นสัญญาณยืนยันแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง
- **การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย:** ผู้ที่เคยดูข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ่งชี้ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสนใจในสินทรัพย์นั้นๆ
- **การติดตามข่าวสาร:** ผู้ที่เคยอ่านข่าวสารเกี่ยวกับสินทรัพย์หนึ่ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา
- **การใช้ Indicator:** ผู้ที่เคยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Moving Average หรือ Bollinger Bands อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสนใจในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการวิเคราะห์
ข้อควรระวังในการใช้ Remarketing
- **ความเป็นส่วนตัว:** เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
- **ความถี่ในการแสดงโฆษณา:** หลีกเลี่ยงการแสดงโฆษณามากเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกรำคาญ
- **เนื้อหาของโฆษณา:** สร้างโฆษณาที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน
- **การทดสอบ:** ทดสอบรูปแบบโฆษณาและกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
สรุป
Remarketing เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถช่วยเพิ่มอัตราการแปลง, เพิ่มการจดจำแบรนด์ และเพิ่ม ROI ได้อย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจหลักการทำงาน, ประเภท, เครื่องมือ และกลยุทธ์ต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถนำ Remarketing ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม้แต่ในโลกของการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น การนำแนวคิด Remarketing มาปรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลก็สามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
การตลาดแบบมีส่วนร่วม เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สามารถทำงานร่วมกับ Remarketing ได้เป็นอย่างดี
การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ก็เป็นช่องทางสำคัญในการเสริมสร้างผลลัพธ์ของ Remarketing
การวิเคราะห์เว็บไซต์ สำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน
SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมที่สามารถนำมาใช้ในแคมเปญ Remarketing ได้
การตลาดเนื้อหา สามารถดึงดูดผู้ใช้งานที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์ของคุณ
การตลาดอีเมล สามารถใช้ร่วมกับ Remarketing เพื่อส่งข้อความที่ตรงเป้าหมายไปยังผู้ใช้งาน
การวิเคราะห์คู่แข่ง ช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์ของคู่แข่งและปรับปรุงแคมเปญ Remarketing ของคุณ
A/B Testing ช่วยให้คุณทดสอบรูปแบบโฆษณาและกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
Google Analytics เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญ Remarketing
การกำหนดราคา มีผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ Remarketing
การสร้างแบรนด์ ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ
การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ช่วยให้คุณจัดการข้อมูลลูกค้าและปรับแต่งแคมเปญ Remarketing ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละราย
การตลาดอัตโนมัติ ช่วยให้คุณทำงานหลายอย่างเป็นอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลและการแสดงโฆษณา
การตลาดแบบบอกต่อ ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) สามารถใช้ในการปรับปรุงแคมเปญ Remarketing ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การตลาดแบบ Omni-channel ช่วยให้คุณสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าบนทุกช่องทาง
การตลาดเชิงสัมพันธ์ มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
การตลาดแบบ Influencer สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ผ่านผู้ที่มีอิทธิพลในตลาด
การตลาดแบบ Guerrilla เป็นกลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร
การตลาดแบบ Viral มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
การตลาดแบบ Real-time ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานในทันที
การตลาดแบบ Personalized ปรับแต่งข้อความและเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
