การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจ

การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจเทรดไบนารี่ออปชั่น

การเทรด Binary option ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเดาสุ่ม แต่ต้องอาศัยเครื่องมือในการวิเคราะห์ตลาด เครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวรับแนวต้าน และ เส้นแนวโน้ม เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็น "แผนที่" ของราคา และช่วยในการตัดสินใจว่าจะเปิด Call option หรือ Put option เมื่อไหร่

แนวคิดพื้นฐาน: แนวรับ แนวต้าน และแนวโน้ม

ก่อนที่เราจะไปถึงขั้นตอนการเทรด เราต้องเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้เสียก่อน

แนวรับ (Support)

แนวรับคือระดับราคาที่ตลาดเคยหยุดการปรับตัวลงและเริ่มดีดกลับขึ้นไป เปรียบเสมือน "พื้น" ที่แข็งแรง หากราคาลงมาถึงจุดนี้ มักจะมีแรงซื้อเข้ามามากกว่าแรงขาย

แนวต้าน (Resistance)

แนวต้านคือระดับราคาที่ตลาดเคยหยุดการปรับตัวขึ้นและเริ่มย่อตัวลง เปรียบเสมือน "เพดาน" ที่ราคาไปต่อได้ยาก มักจะมีแรงขายเข้ามาเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดนี้

เส้นแนวโน้ม (Trend Line)

เส้นแนวโน้มคือเส้นตรงที่ลากเชื่อมจุดต่ำสุด (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น) หรือจุดสูงสุด (สำหรับแนวโน้มขาลง) เพื่อแสดงทิศทางหลักของตลาด

**แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend):** ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher Highs) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows)
**แนวโน้มขาลง (Downtrend):** ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Lows) และจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs)
**ตลาดไร้ทิศทาง (Sideways/Ranging):** ราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน

การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการ ทำความเข้าใจไบนารี่ออปชั่นและความแตกต่างจากตลาดอื่น

การประยุกต์ใช้แนวรับแนวต้านในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

แนวรับแนวต้านช่วยให้เราหาจุดเข้าที่เหมาะสมสำหรับ Call option (คาดว่าราคาจะขึ้น) และ Put option (คาดว่าราคาจะลง)

1. การหาจุดเข้าซื้อ Call option (ซื้อเมื่อราคาลงมาถึงแนวรับ)

เราคาดหวังว่าแนวรับจะรับราคาไว้ได้ และราคาจะกลับตัวขึ้นไปก่อน Expiry time ของเรา

**ขั้นตอนที่ 1: ระบุแนวรับที่แข็งแกร่ง** มองหาบริเวณที่ราคาย้อนกลับขึ้นไปอย่างน้อย 2-3 ครั้งในอดีต
**ขั้นตอนที่ 2: รอการทดสอบ** รอให้ราคาปัจจุบันลงมาแตะหรือเข้าใกล้แนวรับนั้น
**ขั้นตอนที่ 3: สังเกตปฏิกิริยา** ดูว่าเกิด แท่งเทียน ที่แสดงแรงซื้อกลับตัวหรือไม่ (เช่น แท่งเทียนที่มีไส้เทียนด้านล่างยาว หรือแท่งเทียนสีเขียวขนาดใหญ่)
**ขั้นตอนที่ 4: เปิดสถานะ** หากมีสัญญาณยืนยัน ให้เปิด Call option
**ขั้นตอนที่ 5: การตั้งค่า Expiry time** สำหรับการกลับตัวระยะสั้น ควรเลือก Expiry time ที่สั้นกว่ากรอบเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์เล็กน้อย (เช่น หากวิเคราะห์บนกราฟ 5 นาที อาจเลือก Expiry 5-15 นาที)

2. การหาจุดเข้าซื้อ Put option (ซื้อเมื่อราคาทะลุแนวต้าน)

เราคาดหวังว่าแนวต้านเดิมจะถูกทำลาย และราคาจะพุ่งขึ้นต่อไป หรือในทางกลับกัน เราอาจรอให้ราคาถูกปฏิเสธที่แนวต้าน

**กรณีที่ 1: การกลับตัวที่แนวต้าน** รอให้ราคาขึ้นไปถึงแนวต้าน แล้วเกิดแท่งเทียนที่แสดงแรงขายกลับตัว (เช่น แท่งเทียนที่มีไส้เทียนด้านบนยาว) จากนั้นเปิด Put option
**กรณีที่ 2: การทะลุแนวต้าน (Breakout)** หากราคาพุ่งผ่านแนวต้านไปอย่างรุนแรง แนวต้านเดิมมักจะกลายเป็นแนวรับใหม่ (Support becomes Resistance) หากราคาย่อตัวกลับมาทดสอบแนวต้านเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวรับ และยืนยันการไปต่อ ให้เปิด Call option

สถานการณ์	การตัดสินใจ BO	เหตุผล
ราคาลงมาแตะแนวรับแข็งแรง	เปิด Call Option	คาดว่าแรงซื้อจะดันราคาขึ้น
ราคาขึ้นไปแตะแนวต้านและเกิดแท่งเทียนปฏิเสธ	เปิด Put Option	คาดว่าแรงขายจะดันราคาลง

การใช้เส้นแนวโน้มในการยืนยันทิศทาง

เส้นแนวโน้มช่วยให้เราเทรดไปตามทิศทางหลักของตลาด ซึ่งโดยทั่วไปมีความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดสวนทาง

1. การเทรดตามแนวโน้มขาขึ้น

เราจะมองหาโอกาสเปิด Call option เท่านั้น

**การหาจุดเข้า:** ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาย่อตัวลงมาแตะเส้นแนวโน้มนี้ (โดยที่ยังไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่) ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเปิด Call option
**การเลือก Expiry time:** ควรเลือก Expiry time ที่ยาวพอสมควร (เช่น 2-3 เท่าของกรอบเวลาที่ใช้เทรด) เพื่อให้ราคามีเวลาเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของแนวโน้ม

2. การเทรดตามแนวโน้มขาลง

เราจะมองหาโอกาสเปิด Put option เท่านั้น

**การหาจุดเข้า:** ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปแตะเส้นแนวโน้มนี้ (โดยที่ยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่) ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเปิด Put option
**การเลือก Expiry time:** คล้ายกับขาขึ้น ควรเลือก Expiry time ที่ให้เวลาเพียงพอ

3. การเทรดเมื่อแนวโน้มถูกทำลาย

การที่ราคาเบรคหลุดเส้นแนวโน้มที่ลากไว้ ถือเป็นสัญญาณเตือนว่า Trend อาจกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง หากคุณกำลังถือสถานะสวนทางกับทิศทางใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณควรระมัดระวัง

**สัญญาณยกเลิก:** หากราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าในแนวโน้มขาขึ้น แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลงแล้ว

ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

การใช้แนวรับแนวต้านดูเหมือนง่าย แต่มีกับดักซ่อนอยู่มากสำหรับผู้เริ่มต้น

ข้อผิดพลาดที่ 1: การมองหาแนวรับ/แนวต้านที่ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป

ตลาดจริงไม่เคยวิ่งเป็นเส้นตรง แนวรับและแนวต้านควรถูกมองว่าเป็น "โซน" หรือ "พื้นที่" มากกว่าระดับราคาเดียวที่แม่นยำ

**การแก้ไข:** ให้มองหาแนวราคาที่มีการตอบสนองหลายครั้งในบริเวณใกล้เคียงกัน

ข้อผิดพลาดที่ 2: การเทรด Breakout ทันทีที่เกิดการทะลุ

การทะลุ (Breakout) มักเกิดการ "หลอก" (Fakeout) หรือที่เรียกว่า False Breakout บ่อยครั้ง ราคาจะพุ่งทะลุแนวรับ/แนวต้านเพียงเล็กน้อยแล้วรีบกลับเข้ามาในกรอบเดิม

**การตรวจสอบ:** อย่าเปิดสถานะทันทีที่ราคาแตะหรือทะลุ ให้รอแท่งเทียนปิด หากเป็นแท่งเทียนที่แข็งแกร่งและปิดเหนือแนวต้าน (สำหรับการซื้อ) หรือปิดใต้แนวรับ (สำหรับการขาย) จึงค่อยพิจารณา

ข้อผิดพลาดที่ 3: การละเลย จิตวิทยา

เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้าน ความตื่นเต้นจะสูงขึ้น หากคุณเปิดสถานะแล้วราคาเคลื่อนไหวสวนทางเล็กน้อย อาจทำให้เกิดความกลัวและปิดสถานะก่อนเวลาอันควร หรือเปิดสถานะเพิ่มโดยไม่มีเหตุผล

**การจัดการ:** ยึดมั่นในแผนที่วางไว้ และทบทวน การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น เสมอ

การจัดการ Expiry time และผลตอบแทน (Payout)

ใน Binary option การเลือก Expiry time มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันคือตัวกำหนดว่าการคาดการณ์ของคุณจะถูกหรือผิด

ความสัมพันธ์ระหว่างการวิเคราะห์กับ Expiry Time

การวิเคราะห์แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มมักทำบนกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (เช่น 15 นาที, 1 ชั่วโมง) เพื่อหาทิศทาง แต่การเทรด BO มักใช้กรอบเวลาสั้น

**การกลับตัว (Reversal):** หากคุณคาดหวังให้ราคาเด้งกลับจากแนวรับ/แนวต้าน การเลือก Expiry time ควรสั้นกว่ากรอบเวลาที่ใช้ดูเล็กน้อย (เช่น ดู 5 นาที คาดหวังการเด้งกลับใน 1-3 แท่งถัดไป)
**การไปต่อ (Continuation/Breakout):** หากคุณคาดหวังให้ราคาไปต่อตามแนวโน้มหรือทะลุผ่านแนวต้าน การเลือก Expiry time ควรยาวกว่า (เช่น 3-5 เท่าของกรอบเวลาที่ใช้ดู) เพื่อให้ราคามีเวลาเคลื่อนที่

ผลตอบแทน (Payout) และความเสี่ยง

เมื่อคุณเลือกจุดเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้านมากเท่าไหร่ โอกาสที่ราคาจะไปถึงจุดนั้นก็ยิ่งสูง แต่ผลตอบแทน (Payout) อาจลดลงเล็กน้อยหากโบรกเกอร์ปรับอัตราตามความเสี่ยง

**In-the-money (ITM):** หากราคาปิดเหนือกว่า (Call) หรือต่ำกว่า (Put) จุดเข้าของคุณ คุณจะได้รับ Payout ตามที่กำหนด
**Out-of-the-money (OTM):** หากราคาปิดผิดทาง คุณจะสูญเสียเงินลงทุนใน การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น นั้นๆ

การเทรดที่ใกล้แนวรับ/แนวต้านมากเกินไปอาจทำให้คุณต้องเลือก Expiry time ที่สั้นมาก ซึ่งเพิ่มความผันผวนและอาจทำให้เกิดการแพ้เนื่องจากความผันผวนเล็กน้อย (Noise)

การนำไปใช้จริงบนแพลตฟอร์ม (ตัวอย่าง: IQ Option หรือ Pocket Option)

เมื่อคุณวิเคราะห์กราฟบนคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันแล้ว คุณต้องนำไปปฏิบัติบนแพลตฟอร์มการเทรด

ขั้นตอนการเทรดตามแนวรับ/แนวต้าน

**เลือกสินทรัพย์และกรอบเวลา:** เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์ที่ต้องการ และตั้งค่ากรอบเวลาของกราฟ (เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที)
**วาดเส้น:** ใช้เครื่องมือวาดเส้นบนแพลตฟอร์มเพื่อลากเส้นแนวรับ แนวต้าน และเส้นแนวโน้มตามการวิเคราะห์ของคุณ
**กำหนดขนาดการลงทุน:** กำหนดจำนวนเงินที่จะใช้ต่อการเทรด ภายใต้หลักการ การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น (ไม่ควรเกิน 1-2% ของเงินทุนรวมต่อครั้ง)
**รอสัญญาณเข้า:** เฝ้าดูจนกระทั่งราคาเข้าใกล้โซนที่คุณกำหนดไว้
**ยืนยันสัญญาณ:** ตรวจสอบ Candlestick pattern หรือตัวชี้วัดอื่น (เช่น RSI หรือ MACD) ว่าสนับสนุนการตัดสินใจหรือไม่
**ตั้งค่าคำสั่ง:**

   *   เลือกประเภท: Call หรือ Put
   *   ใส่จำนวนเงินลงทุน
   *   ตั้งค่า Expiry time ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์

**ส่งคำสั่ง:** กดปุ่มซื้อหรือขาย

การตั้งค่า	ค่าที่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น (กรอบเวลา 5 นาที)
กรอบเวลาวิเคราะห์	5 นาที หรือ 15 นาที
Expiry time (Reversal)	5 - 15 นาที
Expiry time (Continuation)	15 - 30 นาที
ความเสี่ยงต่อการเทรด	1% - 2% ของยอดคงเหลือ

การประเมินผลและปรับปรุงกลยุทธ์

การเทรดที่ดีต้องมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การใช้แนวรับแนวต้านไม่ใช่สูตรสำเร็จ 100%

การบันทึกผลการเทรด

คุณต้องบันทึกทุกการเทรดลงใน สมุดบันทึกการเทรด เพื่อดูว่าการตัดสินใจที่อิงตามแนวรับ/แนวต้านนั้นๆ มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่

บันทึกจุดเข้า (ราคา)
บันทึกแนวรับ/แนวต้านที่ใช้ในการตัดสินใจ
บันทึกผลลัพธ์ (ITM/OTM)
บันทึกเหตุผลที่ตัดสินใจ (เช่น "เข้าเพราะแท่งเทียน Hammer ที่แนวรับ")

กฎการยกเลิกกลยุทธ์ (Invalidation Rules)

กลยุทธ์ของคุณจะถูกยกเลิกทันทีเมื่อ:

ราคาเบรคแนวรับ/แนวต้านสำคัญอย่างรุนแรง และไม่ย่อตัวกลับเข้ามาในกรอบเดิมเลย
เส้นแนวโน้มที่ใช้อ้างอิงถูกทำลายด้วยแท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่และปิดอย่างชัดเจน

หากกลยุทธ์ถูกยกเลิก คุณต้องหยุดเทรดตามกลยุทธ์นั้นทันที และกลับไปวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาด อาจจะต้องปรับปรุงการตั้งค่า Bollinger Bands หรือใช้เครื่องมืออื่นช่วยยืนยัน เช่น Elliott wave

สรุปความคาดหวังที่เป็นจริง

แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ พวกมันช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการเทรดของคุณเท่านั้น

**ความแม่นยำ:** แม้แต่แนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดก็สามารถถูกทำลายได้ ความแม่นยำในการเทรดตามแนวรับแนวต้านที่ดีควรอยู่ที่ประมาณ 60-70% หากคุณมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
**ความสม่ำเสมอ:** ความสำเร็จมาจากการทำซ้ำกลยุทธ์ที่มีอัตราส่วนความสำเร็จสูงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่การชนะครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
**ความเสี่ยง:** อย่าลืมว่าการเทรดไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด คุณควรเริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) และทำความเข้าใจเรื่อง การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น ก่อนที่จะใช้เงินจริง

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเหล่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการจัดการเงินทุนที่เข้มงวด และการควบคุมอารมณ์ในการเทรด หากคุณสนใจเรื่องความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ลองศึกษาเรื่อง การใช้ Trading Privacy Regulations in Trading และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง การใช้เครื่องมือ Fully Homomorphic Encryption (FHE) เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจ

Contents