การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น

การบริหารความเสี่ยงเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้นใน Binary Options

ยินดีต้อนรับสู่โลกของการเทรด Binary option! ก่อนที่คุณจะเริ่มทำกำไร คุณต้องเข้าใจหัวใจสำคัญของการเทรดที่ยั่งยืน นั่นคือ Risk management หรือการบริหารความเสี่ยง สำหรับผู้เริ่มต้น การเทรดไบนารี่ออปชั่นอาจดูเหมือนง่ายเพราะมีเพียงสองทางเลือกคือ Call option (ขึ้น) หรือ Put option (ลง) แต่ความง่ายนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่ดี เงินทุนของคุณอาจหมดไปอย่างรวดเร็ว บทความนี้จะแนะนำหลักการพื้นฐานและขั้นตอนปฏิบัติเพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นคง

ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความเสี่ยงใน Binary Options

Binary option แตกต่างจากการเทรดแบบดั้งเดิมตรงที่ผลตอบแทนและผลขาดทุนนั้นคงที่และทราบล่วงหน้า ความเสี่ยงหลักของคุณคือการสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดใน Expiry time หรือระยะเวลาหมดอายุที่กำหนดไว้ หากการคาดการณ์ของคุณผิดพลาด คุณจะเสียเงินลงทุนในเทรดนั้นไป

• **ความเสี่ยงคงที่:** หากคุณลงทุน 100 บาท และได้รับผลตอบแทน 80% หากคุณชนะ คุณได้ 180 บาท (เงินต้น 100 + กำไร 80) หากคุณแพ้ คุณเสีย 100 บาทเต็มจำนวน
• **ความผันผวนของราคา:** แม้ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณเลือก แต่ถ้ามันไม่ไปถึงจุดที่กำหนดก่อนหมดอายุ คุณก็ยังคงขาดทุน
• **การสูญเสียเงินทุนทั้งหมด:** ในไบนารี่ออปชั่น คุณไม่สามารถขาดทุนเกินกว่าจำนวนเงินที่คุณลงทุนในเทรดนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นข้อดีเมื่อเทียบกับการเทรดแบบมีเลเวอเรจสูง แต่ก็หมายความว่าการขาดทุนทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลักการสำคัญของการบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

การบริหารความเสี่ยงที่ดีคือการปกป้องเงินทุนของคุณเพื่อให้คุณสามารถอยู่รอดในตลาดได้นานพอที่จะเรียนรู้และทำกำไรได้ในระยะยาว นี่คือหลักการพื้นฐานที่คุณต้องยึดถือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ จิตวิทยาการเทรดเพื่อควบคุมอารมณ์และความมีวินัย

• **การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing):** นี่คือการตัดสินใจว่าคุณจะเสี่ยงเงินเท่าไหร่ในการเทรดแต่ละครั้ง
• **การจำกัดการขาดทุนรายวัน:** การกำหนดเพดานการขาดทุนสูงสุดต่อวัน เพื่อป้องกันการเทรดแก้แค้น (Revenge Trading)
• **การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม:** ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น พื้นฐานแท่งเทียนและการอ่านรูปแบบง่ายๆ หรือ การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ

หลักการ	ความสำคัญสำหรับผู้เริ่มต้น
ความเสี่ยงต่อเทรด	ไม่ควรเกิน 1-3% ของยอดเงินในบัญชี
การบันทึกเทรด	จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินผลและปรับปรุงกลยุทธ์ Trading journal
การควบคุมอารมณ์	ป้องกันการเทรดเกินตัวเมื่อเกิดการขาดทุน

ขั้นตอนปฏิบัติที่ 1: การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing)

Position sizing เป็นรากฐานของการอยู่รอดในตลาด คุณต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุผลว่าจะเสี่ยงเงินจำนวนเท่าใดในการเทรด Binary option แต่ละครั้ง

1. **ประเมินเงินทุนทั้งหมด:** กำหนดจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะลงทุนในบัญชีเทรดของคุณ (เงินที่คุณพร้อมจะเสียได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน)
2. **กำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อเทรด:** สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 1% ถึง 3% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

   *   ตัวอย่าง: หากคุณมีเงินทุน 1,000 บาท การเสี่ยง 1% หมายถึงคุณจะลงทุนสูงสุด 10 บาทต่อเทรด

1. **คำนวณจำนวนเงินลงทุน:** นำเงินทุนทั้งหมด คูณด้วยเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่กำหนด

   *   สูตร: เงินลงทุน = เงินทุนรวม x (เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง / 100)

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: การลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเกินไป เพราะคิดว่า "เทรดนี้ชัวร์" ซึ่งเป็นการละเลยหลักการ Risk management

ขั้นตอนปฏิบัติที่ 2: การจำกัดการขาดทุนรายวันและรายสัปดาห์

แม้ว่าคุณจะบริหารความเสี่ยงต่อเทรดได้ดี แต่การขาดทุนติดต่อกัน (Losing Streak) ก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ การกำหนดขีดจำกัดจะช่วยให้คุณหยุดพักก่อนที่จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวง

1. **กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน:** โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 3% ถึง 5% ของเงินทุนทั้งหมด

   *   ตัวอย่าง: หากเงินทุน 1,000 บาท ขีดจำกัดรายวันคือ 50 บาท (5%)

1. **หยุดเทรดทันทีเมื่อถึงขีดจำกัด:** เมื่อคุณขาดทุนถึงจำนวนที่ตั้งไว้ ให้ปิดแพลตฟอร์มและกลับมาใหม่ในวันถัดไป นี่คือการบังคับใช้ระเบียบวินัย
2. **กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนรายสัปดาห์ (ทางเลือก):** สำหรับผู้ที่เข้มงวด อาจตั้งเป้าว่าหากสัปดาห์นั้นขาดทุนรวมเกิน 10% ให้หยุดพักการเทรดชั่วคราวเพื่อทบทวนกลยุทธ์

การเลือกแพลตฟอร์มและการใช้งานเบื้องต้น

แพลตฟอร์มเทรดเป็นเครื่องมือที่คุณใช้ในการดำเนินการซื้อขาย การทำความเข้าใจส่วนประกอบต่างๆ มีความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยง

แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับผู้เริ่มต้น ได้แก่ IQ Option และ Pocket Option

คุณสมบัติหลัก	ความเกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง
บัญชีทดลอง (Demo)	ใช้ฝึกฝน Position sizing และทดสอบกลยุทธ์โดยไม่เสี่ยงเงินจริง
ประเภทสินทรัพย์	หลากหลายช่วยให้คุณเลือกตลาดที่มีความผันผวนเหมาะสมกับกลยุทธ์
การแสดงผลราคา	ต้องมั่นใจว่ากราฟที่เห็นมีความน่าเชื่อถือ (เช่น กราฟแท่งเทียน) พื้นฐานแท่งเทียนและการอ่านรูปแบบง่ายๆ

• **การใช้บัญชี Demo:** ก่อนใช้เงินจริง (Real Money) คุณต้องฝึกฝนบนบัญชีทดลองจนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (แม้ว่าผลตอบแทนในบัญชีจริงจะสูงกว่าเล็กน้อยก็ตาม)
• **การฝาก/ถอนเงิน (Deposit/Withdrawal):** ตรวจสอบวิธีการฝากถอนและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง อย่าฝากเงินที่คุณไม่สามารถสูญเสียได้ และทำความเข้าใจขั้นตอนการยืนยันตัวตน (KYC) เพื่อให้การถอนกำไรเป็นไปอย่างราบรื่น

การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับผู้เริ่มต้น: การตัดสินใจเข้า/ออกเทรด

ใน Binary option การตัดสินใจเข้าเทรดขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ทิศทางราคาในกรอบเวลาสั้นๆ เราจะใช้เครื่องมือพื้นฐานเพื่อช่วยในการตัดสินใจ

1. การทำความเข้าใจแนวโน้ม (Trend)

แนวโน้มคือทิศทางโดยรวมของราคา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนการใช้เครื่องมืออื่น การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจ

• **แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend):** ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
• **แนวโน้มขาลง (Downtrend):** ราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ
• **การเทรดตามแนวโน้ม:** สำหรับผู้เริ่มต้น การเทรดตาม Trend (เช่น ซื้อ Call เมื่อเป็นขาขึ้น) มักมีความเสี่ยงต่ำกว่าการพยายามจับการกลับตัว

2. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับคือระดับราคาที่มักจะหยุดการปรับตัวลง และแนวต้านคือระดับที่มักจะหยุดการปรับตัวขึ้น

• **การเข้าซื้อ (Call):** เมื่อราคาทดสอบแนวรับและแสดงสัญญาณการดีดตัวกลับ (เช่น Candlestick pattern ที่บ่งบอกถึงแรงซื้อ)
• **การเข้าขาย (Put):** เมื่อราคาทดสอบแนวต้านและแสดงสัญญาณการกลับตัวลง

3. การใช้ตัวชี้วัดพื้นฐาน (Indicators)

ตัวชี้วัดช่วยยืนยันสัญญาณที่คุณเห็นจากกราฟ

• **RSI (Relative Strength Index):** ใช้ดูภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)

   *   *การใช้งานง่ายๆ:* หาก RSI ต่ำกว่า 30 และราคาสัมผัสแนวรับ อาจพิจารณา Call option
   *   *ข้อควรระวัง:* ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง RSI อาจติดอยู่ในโซน Overbought/Oversold เป็นเวลานาน

• **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้ดูโมเมนตัมและการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย

   *   *ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:* การเข้าเทรดทันทีที่เส้นตัดกันโดยไม่ดูบริบทของ Trend หรือแนวรับ/แนวต้าน

4. การเลือกกรอบเวลาและ Expiry Time

Expiry time (ระยะเวลาหมดอายุ) คือปัจจัยสำคัญที่สุดในไบนารี่ออปชั่น เพราะมันกำหนดว่าการคาดการณ์ของคุณจะถูกตัดสินเมื่อใด

• **กรอบเวลาของกราฟ (Time Frame):** คือช่วงเวลาที่แต่ละแท่งเทียนแสดง (เช่น 1 นาที, 5 นาที)
• **Expiry Time:** คือระยะเวลาที่สัญญาของคุณจะสิ้นสุดลง

• • กฎทั่วไปสำหรับผู้เริ่มต้น:**

1. **ใช้กรอบเวลาที่สูงกว่า:** หากคุณใช้กราฟ 5 นาที ควรเลือก Expiry time ที่ยาวกว่านั้น เช่น 15 นาที หรือ 25 นาที เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับทิศทางราคาที่จะแสดงผล
2. **ความสัมพันธ์ระหว่างกรอบเวลาและ Expiry:** หากคุณวิเคราะห์จากกราฟ 1 นาที (M1) Expiry time ที่เหมาะสมมักจะเป็น 3 นาที หรือ 5 นาที (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์) แต่สำหรับมือใหม่ ควรเลือก Expiry ที่ยาวกว่าแท่งเทียนที่คุณใช้วิเคราะห์อย่างน้อย 2-3 เท่า เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนเล็กน้อย

การตั้งค่าเทรด	คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น
กราฟ (Time Frame)	5 นาที
Expiry Time ที่แนะนำ	15 นาที หรือ 25 นาที
การเข้าเทรด (Strike Price)	พยายามเลือกราคาที่ทำให้ตำแหน่งของคุณเป็น In-the-money (ITM) หากเป็นไปได้ หรือใกล้เคียง

การจัดการราคา Strike Price: ITM, OTM, และ Payout =

เมื่อคุณเปิด Call option หรือ Put option คุณต้องเลือกระดับราคาที่เรียกว่า "Strike Price"

• **In-the-money (ITM):** หากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง และราคาปิดสูงกว่า (สำหรับ Call) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Put) ราคาสไตรค์ ณ เวลาหมดอายุ คุณจะได้กำไรตาม Payout ที่กำหนด
• **Out-of-the-money (OTM):** หากราคาปิดไม่ถึงระดับสไตรค์ที่คุณเลือก คุณจะขาดทุนทั้งหมด
• **Payout:** คือเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณจะได้รับ (เช่น 80%) ซึ่งจะถูกนำไปคำนวณจากเงินลงทุนของคุณ

• • ความเสี่ยงในการเลือก OTM:** แพลตฟอร์มบางแห่งอาจอนุญาตให้คุณเลือกสไตรค์ที่ "ห่าง" จากราคาปัจจุบันมาก (OTM) ซึ่งมีโอกาสชนะสูงกว่า แต่ Payout มักจะต่ำกว่ามาก (เช่น 50-60%) ในขณะที่การเลือกสไตรค์ที่ "ใกล้" ราคาปัจจุบัน (ITM หรือใกล้ OTM) มีโอกาสชนะต่ำกว่า แต่ Payout สูงกว่า

• *คำแนะนำ:* ในช่วงเริ่มต้น ให้เน้นการเทรดที่สไตรค์ที่ทำให้คุณมีโอกาสชนะสูง (แม้ Payout จะต่ำกว่าเล็กน้อย) จนกว่าคุณจะมั่นใจในความแม่นยำของการคาดการณ์ทิศทางราคา

ขั้นตอนการเข้าและออกเทรดตามแผนการบริหารความเสี่ยง

นี่คือกระบวนการที่คุณควรปฏิบัติตามก่อนกดปุ่มซื้อขายทุกครั้ง

1. **วิเคราะห์ตลาด:** ตรวจสอบ Trend โดยใช้เครื่องมือ เช่น Bollinger Bands หรือแนวโน้มเส้น (Trend Lines)
2. **ค้นหาสัญญาณยืนยัน:** รอให้เกิด Candlestick pattern ที่ชัดเจนที่แนวรับ/แนวต้าน หรือสัญญาณจาก RSI
3. **กำหนดขนาดเงินลงทุน:** คำนวณขนาดตามกฎ 1-3% ของเงินทุน (เช่น 10 บาท)
4. **เลือกสินทรัพย์และ Expiry Time:** เลือกสินทรัพย์ที่มี Payout ที่ยอมรับได้ (เช่น 75% ขึ้นไป) และตั้ง Expiry time ที่เหมาะสมกับกรอบเวลาที่คุณวิเคราะห์
5. **กำหนดราคา Strike Price:** เลือกสไตรค์ที่ทำให้คุณรู้สึกมั่นใจที่สุด (พยายามให้เป็น ITM หากเป็นไปได้)
6. **ดำเนินการเทรด:** กดซื้อ Call option หรือ Put option
7. **บันทึกผล:** บันทึกรายละเอียดทั้งหมดลงใน Trading journal ทันที ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร

• • การจัดการเมื่อเกิดการขาดทุน (Invalidation Criteria):**

หากคุณเข้าเทรดตามแนวรับ แต่ราคาทะลุแนวรับนั้นลงไปอย่างรุนแรง (เกิดแท่งเทียนที่แข็งแกร่งทะลุผ่าน) นั่นคือสัญญาณว่าการวิเคราะห์ของคุณผิดพลาด (Invalidation) คุณต้องยอมรับผลขาดทุนนั้น และห้ามเปิดเทรดแก้แค้นทันที

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง (Realistic Expectations)

Binary option ไม่ใช่การรวยเร็ว แต่เป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา การตั้งเป้าหมายที่ไม่สมจริงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้เริ่มต้นล้มเหลว

• **อัตราการชนะ (Win Rate):** ผู้เทรดที่ประสบความสำเร็จโดยทั่วไปมีอัตราการชนะอยู่ที่ประมาณ 55% ถึง 65% หากคุณสามารถรักษาอัตรานี้ไว้ได้โดยใช้ Position sizing ที่ถูกต้อง คุณจะทำกำไรได้ในระยะยาว
• **เป้าหมายรายวัน:** หากคุณเสี่ยง 2% ต่อเทรด และมีอัตราการชนะ 60% คุณไม่ควรคาดหวังกำไรเกิน 3-5% ของเงินทุนต่อวัน การพยายามทำกำไร 20% ต่อวันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และนำไปสู่การเทรดที่ประมาท
• **ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าขนาด:** การทำกำไรเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอดีกว่าการทำกำไรก้อนใหญ่แล้วขาดทุนทั้งหมดในวันถัดไป

การประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ขั้นสูงอย่างระมัดระวัง

เมื่อคุณเริ่มคุ้นเคยกับพื้นฐานแล้ว คุณอาจสนใจเครื่องมือที่ซับซ้อนขึ้น เช่น Elliott wave หรือการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนขั้นสูง

• **Elliott Wave:** เป็นทฤษฎีที่พยายามทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดเป็นชุดคลื่น (5 คลื่นขึ้น และ 3 คลื่นลง)

   *   *ข้อดี:* ให้มุมมองระยะยาวและช่วยระบุจุดกลับตัวที่มีนัยสำคัญ
   *   *ข้อเสีย:* การนับคลื่นมีความเป็นอัตวิสัยสูงมาก และอาจมีการนับที่ผิดพลาดได้ง่ายสำหรับมือใหม่
   *   *กฎการใช้งาน:* อย่าใช้ Elliott wave เป็นเหตุผลเดียวในการเข้าเทรด ให้ใช้เพื่อยืนยันสัญญาณจากแนวรับ/แนวต้านเท่านั้น

• **การจัดการความเสี่ยงเมื่อใช้เครื่องมือซับซ้อน:** หากคุณใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนกว่า ให้ลดขนาดการลงทุนลงชั่วคราว (เช่น เหลือ 0.5% ต่อเทรด) จนกว่าคุณจะพิสูจน์ได้ว่าการวิเคราะห์นั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้เครื่องมือพื้นฐาน

สรุปสำหรับผู้เริ่มต้น

การบริหารความเสี่ยงใน Binary option คือการสร้างเกราะป้องกันให้เงินทุนของคุณ การเริ่มต้นที่ถูกต้องคือการเน้นที่การควบคุมสิ่งที่คุณควบคุมได้ นั่นคือ ขนาดเงินลงทุนต่อครั้ง และจำนวนครั้งที่คุณเทรดในแต่ละวัน

• **กฎทองคำ:** อย่าเสี่ยงเกิน 3% ของเงินทุนต่อเทรด
• **วินัย:** หยุดเทรดเมื่อถึงขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน
• **การเรียนรู้:** ใช้ Trading journal เพื่อตรวจสอบว่ากลยุทธ์ของคุณทำงานได้ดีภายใต้สภาวะตลาดอย่างไร

การเข้าใจ ทำความเข้าใจไบนารี่ออปชั่นและความแตกต่างจากตลาดอื่น จะช่วยให้คุณไม่นำกฎการเทรดแบบอื่นมาใช้ผิดที่ผิดทาง การบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดและเติบโตต่อไปในตลาดนี้

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

• ทำความเข้าใจไบนารี่ออปชั่นและความแตกต่างจากตลาดอื่น
• จิตวิทยาการเทรดเพื่อควบคุมอารมณ์และความมีวินัย
• พื้นฐานแท่งเทียนและการอ่านรูปแบบง่ายๆ
• การใช้แนวรับแนวต้านและเส้นแนวโน้มในการตัดสินใจ

บทความแนะนำ

• การบริหารเงินทุนขั้นสูง
• การบริหารโครงการ
• การบริหารความเสี่ยงในการเทรด Binary Options
• กลยุทธ์การบริหารเงินทุน
• การเทรดไบนารี่ออปชั่นสำหรับมือใหม่

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!