การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิในการเทรด

การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิในการเทรดไบนารี่ออปชัน

การเทรด Binary option นั้นแตกต่างจากการเทรดรูปแบบอื่น ๆ ตรงที่ผลลัพธ์ของการเทรดจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน นั่นคือ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" หรือ "กำไร" หรือ "ขาดทุน" องค์ประกอบสำคัญสองประการที่กำหนดผลลัพธ์นี้คือ **เวลาหมดอายุ (Expiry Time)** และ **ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)** ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจซื้อ Call option หรือ Put option บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการเลือกสองปัจจัยนี้อย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น

ความเข้าใจพื้นฐาน: เวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิ

ก่อนจะเข้าสู่การเลือก เราต้องเข้าใจความหมายของสองคำนี้ในบริบทของ Binary option ก่อน

เวลาหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time คือช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าการคาดการณ์ราคาของคุณจะต้องเป็นจริงเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลานั้น หากคุณซื้อออปชันที่หมดอายุใน 5 นาที คุณต้องมั่นใจว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น EUR/USD หรือทองคำ) จะอยู่สูงกว่า (สำหรับ Call) หรือต่ำกว่า (สำหรับ Put) ราคาใช้สิทธิ ณ สิ้นสุด 5 นาทีนั้น

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ราคาใช้สิทธิคือราคาอ้างอิง ณ เวลาที่คุณทำการซื้อขาย ราคาปัจจุบันของสินทรัพย์ ณ ขณะนั้นมักจะเป็นราคาใช้สิทธิเริ่มต้น (At-the-Money) การเลือกราคาใช้สิทธิจะสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงและ Payout ที่คุณจะได้รับ หากคุณคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปไกลจากราคาปัจจุบัน (เลือกราคาใช้สิทธิที่ห่างไกล) โอกาสที่จะได้กำไรอาจน้อยลง แต่โบรกเกอร์อาจเสนอ Payout ที่ต่ำกว่า หรือในบางกรณี (เช่น Over-the-Counter Options) อาจมีการกำหนดราคาใช้สิทธิที่แตกต่างออกไป

การเลือกเวลาหมดอายุ (Expiry Time Selection)

การเลือก Expiry time ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันเชื่อมโยงโดยตรงกับกรอบเวลาที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ (Time Frame) และความผันผวนของตลาด

ความสัมพันธ์กับ Time Frame การวิเคราะห์

ผู้เริ่มต้นมักสับสนระหว่าง Time Frame ของกราฟที่ใช้ในการวิเคราะห์ (เช่น กราฟ 1 นาที, 5 นาที) กับ Expiry time ของออปชัน

• **การเทรดระยะสั้นมาก (Scalping/Turbo Trading):** มักใช้กราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที และเลือก Expiry time ที่สั้นมาก เช่น 1 ถึง 5 นาที การเทรดประเภทนี้ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วและอาศัยการจับสัญญาณการกลับตัวหรือการเคลื่อนไหวระยะสั้นมาก
• **การเทรดระยะสั้น (Short-Term Trading):** ใช้กราฟ 5 นาที หรือ 15 นาที และเลือก Expiry time ประมาณ 15 นาที ถึง 30 นาที เหมาะสำหรับการจับการเคลื่อนไหวตาม Trend ในระยะสั้น
• **การเทรดระยะกลาง:** ใช้กราฟ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง และเลือก Expiry time ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงขึ้นไป

การพิจารณาความผันผวน (Volatility)

ความผันผวนของตลาดมีผลต่อการเลือก Expiry time

• **ตลาดผันผวนสูง:** ราคาเคลื่อนไหวเร็วและรุนแรง การเลือก Expiry time ที่สั้นเกินไปอาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดได้ง่ายเนื่องจากแรงเหวี่ยง (Noise) การเพิ่มเวลาเล็กน้อยอาจช่วยให้การเคลื่อนไหวที่แท้จริงปรากฏชัดเจนขึ้น
• **ตลาดผันผวนต่ำ (Sideways):** ราคาเคลื่อนไหวช้า การเลือก Expiry time ที่ยาวเกินไปอาจทำให้โอกาสในการทำกำไรลดลง เพราะราคาอาจกลับเข้าสู่ช่วงเดิมก่อนหมดอายุ

กฎการจับคู่ Expiry Time กับสัญญาณ

กฎพื้นฐานที่ผู้เริ่มต้นควรพิจารณาคือ การเลือก Expiry time ควรมีความสัมพันธ์กับรูปแบบที่ใช้ในการตัดสินใจ เช่น การใช้ รูปแบบแท่งเทียนพื้นฐานที่ควรรู้สำหรับไบนารี่ออปชัน

• หากคุณใช้รูปแบบแท่งเทียนที่ต้องใช้เวลาในการก่อตัว (เช่น Engulfing Pattern บนกราฟ 5 นาที) Expiry time ที่เหมาะสมควรยาวกว่าเวลาที่แท่งเทียนนั้นใช้ในการปิดตัวลงอย่างน้อยหนึ่งช่วงเวลา เพื่อให้ตลาดมีเวลาตอบสนองต่อสัญญาณนั้น

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการเลือก Expiry Time

• การเลือก Expiry time สั้นเกินไปเมื่อวิเคราะห์จากกราฟที่มี Time Frame ยาว (เช่น ดูแนวรับ/แนวต้าน บนกราฟ 1 ชั่วโมง แต่ตั้ง Expiry 1 นาที)
• การเลือก Expiry time ยาวเกินไปเมื่อตลาดกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรจากโมเมนตัม

ตารางเปรียบเทียบ Expiry Time เบื้องต้น

Time Frame วิเคราะห์	Expiry Time ที่แนะนำ (โดยประมาณ)	ลักษณะการเทรด
1 นาที / 5 นาที	1 – 5 นาที	Turbo/Scalping
5 นาที / 15 นาที	10 – 30 นาที	ระยะสั้น
15 นาที / 1 ชั่วโมง	30 นาที – 2 ชั่วโมง	ระยะกลาง (ตามแนวโน้ม)

การเลือกราคาใช้สิทธิ (Strike Price Selection)

ใน Binary option ส่วนใหญ่ ราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดโดยโบรกเกอร์ตามราคาตลาดปัจจุบัน (At-the-Money) อย่างไรก็ตาม ในบางแพลตฟอร์มหรือรูปแบบออปชันบางประเภท (เช่น Range Options หรือ Ladder Options ซึ่งอาจพบได้ในโบรกเกอร์บางราย) คุณอาจมีทางเลือกในการปรับราคาใช้สิทธิ

1. 1. การเลือกราคาใช้สิทธิในการเทรดแบบมาตรฐาน (Call/Put)

ในการเทรด Call option หรือ Put option แบบมาตรฐาน ราคาใช้สิทธิมักจะเท่ากับราคาปัจจุบัน ณ เวลาที่เปิดออปชัน (At-the-Money หรือ ATM)

• **เมื่อเลือก Call Option:** คุณคาดว่าราคาจะสูงกว่าราคาใช้สิทธิเมื่อหมดอายุ
• **เมื่อเลือก Put Option:** คุณคาดว่าราคาจะต่ำกว่าราคาใช้สิทธิเมื่อหมดอายุ

การเลือก ATM เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะมันอาศัยการคาดการณ์ทิศทางเท่านั้น ไม่ใช่การคาดการณ์ขนาดของการเคลื่อนไหว

1. 2. การพิจารณา Out-of-the-Money (OTM) และ In-the-Money (ITM)

แม้ว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะตั้งราคาใช้สิทธิเป็น ATM แต่การทำความเข้าใจแนวคิด OTM และ ITM มีความสำคัญต่อการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน

• **In-the-Money (ITM):** หากคุณเปิด Call และราคาสูงกว่าราคาใช้สิทธิอยู่แล้วก่อนการเทรดเริ่มต้น (แม้ว่าความจริงใน BO ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ ATM) การเทรดลักษณะนี้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าในการเป็น Out-of-the-money เมื่อหมดอายุ แต่โบรกเกอร์อาจเสนอ Payout ที่ต่ำกว่า
• **Out-of-the-Money (OTM):** หากคุณเปิด Call แต่ราคาใช้สิทธิอยู่สูงกว่าราคาปัจจุบัน การเทรดนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะกลายเป็น Out-of-the-money เมื่อหมดอายุ แต่โบรกเกอร์อาจเสนอ Payout ที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

สำหรับผู้เริ่มต้น การยึดติดกับการเทรดที่ราคาใช้สิทธิ ณ ขณะนั้น (ATM) และเน้นไปที่การวิเคราะห์ทิศทางที่แม่นยำโดยใช้เครื่องมือ เช่น Support and resistance หรือตัวชี้วัดอย่าง RSI หรือ MACD ถือเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า

1. 3. การใช้ราคาใช้สิทธิในการเทรดประเภทอื่น (ถ้ามี)

ในออปชันประเภทอื่น (เช่น Range Options) ราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดเป็นช่วงราคา (Range)

• **Range Option:** คุณต้องคาดการณ์ว่าราคาจะยังคงอยู่ "ภายใน" หรือ "ภายนอก" ช่วงราคาที่กำหนดไว้จนกว่าจะหมดอายุ การเลือกขอบเขตของช่วงราคา (ซึ่งทำหน้าที่คล้ายราคาใช้สิทธิหลายระดับ) จะขึ้นอยู่กับการประเมินความผันผวนและแนวโน้มของตลาดว่ารุนแรงพอที่จะทะลุขอบเขตนั้นหรือไม่

การเชื่อมโยงการวิเคราะห์ทางเทคนิคกับการตั้งค่าการเทรด

การเลือก Expiry time และการยืนยันราคาใช้สิทธิ (โดยการวิเคราะห์ทิศทาง) ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง การวิเคราะห์เหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจในทิศทางและระยะเวลาที่จำเป็น

1. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

Support and resistance เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยในการกำหนดจุดเข้าและคาดการณ์การเคลื่อนไหว

• **การเข้าซื้อ Call เมื่อราคาเด้งจากแนวรับ:** หากราคาลงมาแตะแนวรับที่แข็งแกร่ง คุณคาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้น หากคุณใช้กราฟ 1 นาที และการเด้งตัวดูแข็งแกร่ง คุณอาจเลือก Expiry time สั้น (เช่น 3-5 นาที) เพื่อจับการดีดตัวระยะสั้น
• **การเข้าซื้อ Put เมื่อราคาถูกปฏิเสธจากแนวต้าน:** หากราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้านแล้วไม่สามารถผ่านไปได้ คุณคาดว่าจะมีการกลับตัวลง การเลือก Expiry time ต้องเผื่อเวลาให้แรงขายเข้ามามีอิทธิพล

1. การใช้ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)

ตัวชี้วัดเช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ MACD ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของ Trend หรือสัญญาณการกลับตัว

• **RSI Divergence:** หากเกิดภาวะ Divergence (ราคาสูงขึ้น แต่ RSI ต่ำลง) นี่เป็นสัญญาณการกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น การเลือก Expiry time ควรสอดคล้องกับ Time Frame ที่เกิด Divergence นั้น หากเกิดบนกราฟ 15 นาที อาจต้องเผื่อเวลาให้การกลับตัวนั้นเกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจหมายถึง Expiry Time ที่ยาวกว่า 15 นาที

1. การประยุกต์ใช้กับความรู้เรื่องคลื่น (Elliott Wave)

สำหรับผู้ที่ศึกษา Elliott wave การเลือก Expiry time จะซับซ้อนขึ้น โดยต้องพยายามจับจังหวะการจบของคลื่นย่อย

• หากคุณคาดว่าคลื่น Impulse ลูกที่ 3 กำลังจะจบลงบนกราฟ 5 นาที การเปิดออปชันควรเผื่อเวลาให้คลื่นย่อย (Correction Wave) เริ่มต้นขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงการตั้ง Expiry Time ให้ยาวกว่าการปิดแท่งเทียนปัจจุบันเล็กน้อย

การจัดการความเสี่ยงและการตั้งค่าการเทรด (Risk Management)

การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเทรด Binary option

1. 1. หลักการบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing)

เนื่องจากใน Binary option คุณทราบจำนวนเงินที่อาจสูญเสียได้ล่วงหน้า (คือเงินลงทุนทั้งหมด) การกำหนดขนาดสถานะจึงเป็นเรื่องของการควบคุมจำนวนเงินที่คุณจะลงทุนในแต่ละออปชัน

• **กฎ 1-2%:** ไม่ควรเสี่ยงเงินเกิน 1-2% ของยอดเงินในบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ไม่ว่าคุณจะมั่นใจใน Expiry time หรือราคาใช้สิทธิมากเพียงใดก็ตาม การทำตามกฎนี้ช่วยให้คุณอยู่รอดได้นานพอที่จะรอให้กลยุทธ์ของคุณทำงานได้ผล

1. 2. การหลีกเลี่ยงช่วงเวลาข่าวสำคัญ

ช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (เช่น Non-Farm Payrolls, การประชุมธนาคารกลาง) จะทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงและคาดเดาไม่ได้ (Spikes)

• **คำแนะนำ:** หลีกเลี่ยงการตั้ง Expiry time ที่คาบเกี่ยวกับช่วงเวลาข่าว หากคุณต้องเทรดในช่วงนั้น ควรเลือก Time Frame และ Expiry Time ที่ยาวขึ้น เพื่อให้ราคามีเวลา "สงบ" ลงหลังจากเกิดการแกว่งตัวรุนแรง

1. 3. การใช้การยืนยันหลายปัจจัย (Validation Rules)

อย่าเปิดออปชันเพียงเพราะสัญญาณเดียว การเลือก Expiry Time ที่ดีต้องมาพร้อมกับการยืนยันหลายระดับ

• **กฎการยืนยัน:**

   *   สัญญาณทางเทคนิค (เช่น Candlestick pattern) ต้องชัดเจน
   *   ตัวชี้วัดเสริม (เช่น Bollinger Bands บ่งชี้ว่าราคาอยู่ขอบนอก) ต้องสอดคล้อง
   *   Trend หลักต้องสนับสนุนทิศทางที่คุณเลือก
   *   Expiry time ต้องสอดคล้องกับ Time Frame ของสัญญาณ

หากปัจจัยใดไม่ตรงกัน ให้ถือว่าสัญญาณนั้นใช้ไม่ได้และไม่ควรเปิดออปชัน

ตัวอย่างการตั้งค่าการเทรด (Checklist)

ขั้นตอน	การตรวจสอบ (สำหรับ Call Option)
1. การวิเคราะห์แนวโน้ม	ตลาดอยู่ใน Trend ขาขึ้นหรือไม่?
2. การระบุจุดเข้า	ราคาแตะแนวรับที่แข็งแกร่ง หรือมีการกลับตัวจากแนวรับชัดเจนหรือไม่?
3. การยืนยันด้วยตัวชี้วัด	RSI ออกจากภาวะขายมากเกินไป (Oversold) หรือไม่?
4. การเลือก Expiry Time	เวลาหมดอายุสอดคล้องกับ Time Frame การวิเคราะห์ (เช่น 5 นาที) หรือไม่?
5. การบริหารความเสี่ยง	เงินลงทุนไม่เกิน 2% ของบัญชี หรือไม่?

การฝึกฝนและการบันทึกผล (Backtesting and Journaling)

การเรียนรู้การเลือก Expiry time และราคาใช้สิทธิที่ดีที่สุดต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างเข้มข้น

1. การทดสอบย้อนหลัง (Backtesting)

ผู้เริ่มต้นควรทดสอบกลยุทธ์การเลือกเวลาหมดอายุของตนเองก่อนใช้เงินจริง

1. เลือกสินทรัพย์และ Time Frame ที่จะใช้ (เช่น EUR/USD, กราฟ 1 นาที)
2. กำหนด Expiry time ที่คุณต้องการทดสอบ (เช่น 3 นาที)
3. ย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีต และจำลองการเทรดตามกฎของคุณ
4. บันทึกผลลัพธ์: ชนะ/แพ้ และเหตุผลที่เลือก Expiry Time นั้น ๆ
5. วิเคราะห์ว่า Expiry Time ที่เลือกให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อเทียบกับสัญญาณที่ใช้หรือไม่

1. ความสำคัญของ Trading journal

การบันทึกการเทรดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปรับปรุงการตั้งค่าการเทรด

• ใน Trading journal ของคุณ ต้องมีการบันทึกอย่างชัดเจนว่า:

   *   คุณเลือก Expiry time เท่าไหร่
   *   ราคาใช้สิทธิเริ่มต้นคืออะไร
   *   สัญญาณที่ใช้ในการตัดสินใจคืออะไร
   *   ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร (ITM หรือ OTM)

การวิเคราะห์วารสารจะช่วยให้คุณเห็นว่าการตั้ง Expiry Time แบบ 5 นาทีนั้นได้ผลดีกว่า 3 นาทีสำหรับกลยุทธ์การกลับตัวของคุณหรือไม่ นี่คือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตาม วินัยและจิตวิทยาในการเทรดไบนารี่ออปชัน

ความคาดหวังที่เป็นจริงและความเสี่ยง

การเทรด Binary option ไม่ใช่การรับประกันผลกำไร แม้ว่าคุณจะเลือก Expiry time และราคาใช้สิทธิได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม

• **ความเสี่ยงของราคาใช้สิทธิ:** หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่ห่างจากราคาปัจจุบันมากเกินไป (OTM) โอกาสที่ราคาจะไปถึงจุดนั้นภายในเวลาที่กำหนดนั้นต่ำมาก
• **ความเสี่ยงของเวลาหมดอายุ:** ตลาดมีความสุ่มในระยะสั้นมาก แม้ว่าการวิเคราะห์จะถูกต้อง แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนหมดอายุอาจทำให้การเทรดเปลี่ยนจาก In-the-money เป็น Out-of-the-money ได้

ดังนั้น การเลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสมคือการหาจุดสมดุลระหว่างการให้เวลากับตลาดในการเคลื่อนไหวตามการวิเคราะห์ของคุณ กับการจำกัดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวที่คาดไม่ถึง การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่หลากหลาย เช่น การดู Correlation ระหว่างสินทรัพย์ อาจช่วยให้คุณประเมินความผันผวนได้ดีขึ้น เช่น การใช้ Correlation ในการเทรด Volatility Arbitrage เพื่อประเมินว่าตลาดโดยรวมกำลังอยู่ในช่วงที่คาดเดาได้ง่ายหรือไม่

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

• องค์ประกอบของแพลตฟอร์มการซื้อขายไบนารี่ออปชัน
• หลักการบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดสถานะ
• วินัยและจิตวิทยาในการเทรดไบนารี่ออปชัน
• รูปแบบแท่งเทียนพื้นฐานที่ควรรู้สำหรับไบนารี่ออปชัน

บทความแนะนำ

• การใช้เครื่องมือ Trading Research Reports ในการเทรด
• การใช้เครื่องมือ Trading Crypto Trading Platforms ในการเทรด
• การเลือก Time Frame ที่เหมาะสม
• การใช้เครื่องมือ MACD ในการเทรด
• การใช้เครื่องมือ Trading Crypto Trading Security Tools ในการเทรด

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!