การเลือกสินทรัพย์ เวลาหมดอายุ และรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน

การเลือกสินทรัพย์ เวลาหมดอายุ และรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนใน Binary Options สำหรับมือใหม่

Binary option หรือ ออปชันไบนารี เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่รวดเร็วและทราบความเสี่ยงที่แน่นอนล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายของมันซ่อนกลไกที่ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเลือกสินทรัพย์ การบริหารความเสี่ยง เวลาหมดอายุ และ รูปแบบการจ่ายผลตอบแทน บทความนี้จะแนะนำพื้นฐานเหล่านี้สำหรับมือใหม่

ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Binary Options

Binary Options มีความแตกต่างอย่างมากจากการซื้อขายแบบดั้งเดิม เช่น ฟอเร็กซ์ หรือหุ้น เพราะคุณไม่ได้ซื้อหรือขายสินทรัพย์จริง แต่คุณกำลังคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์) ในช่วงเวลาที่กำหนด

**หลักการทำงาน:** คุณตัดสินใจว่าราคาของสินทรัพย์จะสูงขึ้น (ซื้อ Call option) หรือต่ำลง (ซื้อ Put option) เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน ณ เวลาหมดอายุ
**ผลลัพธ์:** มีเพียงสองผลลัพธ์เท่านั้น คือ "ได้กำไร" หรือ "ขาดทุน" ตามจำนวนเงินที่คุณลงทุนไป
**ความเสี่ยงที่จำกัด:** ความเสี่ยงสูงสุดของคุณคือจำนวนเงินที่คุณลงทุนในออปชันนั้นๆ ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับ การบริหารความเสี่ยงพื้นฐาน

1. การเลือกสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Assets)

สินทรัพย์อ้างอิงคือสิ่งที่ราคาของคุณกำลังเดิมพันอยู่ การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการซื้อขาย Binary Options การทำความเข้าใจตลาดของสินทรัพย์นั้นๆ จะช่วยให้คุณคาดการณ์ทิศทางได้แม่นยำขึ้น ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Assets)

ประเภทของสินทรัพย์หลัก

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลายประเภท ดังนี้:

**คู่สกุลเงิน (Forex):** เช่น EUR/USD, GBP/JPY เป็นที่นิยมที่สุดเนื่องจากมีสภาพคล่องสูง
**ดัชนี (Indices):** เช่น S&P 500, NASDAQ ซึ่งสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้น
**สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities):** เช่น ทองคำ น้ำมัน
**หุ้น (Stocks):** หุ้นของบริษัทใหญ่ๆ (อาจมีให้บริการจำกัดขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์)

แนวทางการเลือกสินทรัพย์สำหรับมือใหม่

มือใหม่ควรเริ่มต้นจากสิ่งที่คุ้นเคยและมีความผันผวนที่คาดเดาได้ง่าย

**เริ่มต้นด้วย Forex คู่หลัก:** คู่เงินหลักๆ เช่น EUR/USD มักมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างมีเหตุผลและมีข้อมูลวิเคราะห์มากมาย
**หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่มีข่าวใหญ่:** อย่าเทรดสินทรัพย์ใดๆ ในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ (เช่น NFP ของสหรัฐฯ) เว้นแต่คุณจะเข้าใจกลไกการตอบสนองของตลาดอย่างถ่องแท้ เพราะความผันผวนอาจทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาดได้ง่าย
**พิจารณาความผันผวน:** สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการผิดทางเช่นกัน

สินทรัพย์	ข้อดีสำหรับมือใหม่	ข้อควรระวัง
EUR/USD	มีข้อมูลเยอะ สภาพคล่องสูง	เคลื่อนไหวช้ากว่าคู่รอง
ทองคำ	มีแนวโน้มชัดเจนเมื่อเกิดวิกฤต	อาจผันผวนรุนแรงเมื่อมีข่าว

2. การทำความเข้าใจรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน (Payout Structure)

Payout คือเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณจะได้รับหากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของผลตอบแทนใน Binary Options

ความหมายของ Payout

**อัตราการจ่าย (Payout Rate):** หากคุณลงทุน 100 บาท และโบรกเกอร์เสนอ Payout 85% หากคุณชนะ คุณจะได้เงินต้น 100 บาท กลับคืนมา พร้อมกำไรอีก 85 บาท รวมเป็น 185 บาท
**ความสำคัญ:** อัตรา Payout ที่สูงขึ้นหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยความยากในการคาดการณ์ที่สูงขึ้น

Payout กับราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ใน Binary Options คุณจะเห็นคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับราคาใช้สิทธิ ซึ่งกำหนดว่าออปชันของคุณจะจบลงแบบ In-the-money หรือ Out-of-the-money

**ราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** คือราคา ณ เวลาที่คุณเปิดออปชัน
**In-the-money (ITM):** หากคุณซื้อ Call และราคาปิดสูงกว่าราคาใช้สิทธิ หรือซื้อ Put และราคาปิดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ คุณจะได้รับ Payout
**Out-of-the-money (OTM):** หากราคาปิดไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะตั้งราคาใช้สิทธิให้ใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน (At-the-money) เพื่อให้การซื้อขายมีความท้าทายและสมดุลกับการจ่ายผลตอบแทนที่สูง

การคำนวณจุดคุ้มทุน (Breakeven Point)

เนื่องจากคุณต้องจ่ายเงินลงทุนทั้งหมดเมื่อแพ้ แต่ได้กำไรเป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อชนะ คุณต้องมีอัตราการชนะที่สูงกว่าจุดหนึ่งเพื่อทำกำไรโดยรวม

สมมติว่า Payout คือ 80% (หมายความว่าคุณเสีย 100% เมื่อแพ้ แต่ได้ 180% เมื่อชนะ) ในทางทฤษฎี คุณต้องมีอัตราการชนะมากกว่าประมาณ 55.5% จึงจะเริ่มทำกำไรได้ (เพราะทุก 100 บาทที่เสียไป คุณต้องชนะ 180 บาท เพื่อชดเชย)

**กลยุทธ์:** มุ่งเน้นไปที่การสร้างกลยุทธ์ที่ให้ Win Rate สูงกว่า 60% เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะทำกำไรได้ในระยะยาว ตามหลัก การกำหนดราคา การเลือกราคาใช้สิทธิ และผลลัพธ์กำไรขาดทุน

3. การเลือกเวลาหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time คือระยะเวลาที่ออปชันของคุณจะคงอยู่ก่อนที่จะถูกตัดสินว่าชนะหรือแพ้ การเลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสมเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการจับคู่กับกลยุทธ์การวิเคราะห์ของคุณ

ความสัมพันธ์ระหว่าง Expiry Time และ Timeframe การวิเคราะห์

เวลาหมดอายุที่คุณเลือกควรสอดคล้องกับกรอบเวลา (Timeframe) ของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่คุณใช้

**Short-term Expiries (30 วินาที ถึง 5 นาที):** เหมาะสำหรับการเทรดแบบ Scalping หรือการเทรดตามความผันผวนระยะสั้นมาก (News Spikes) การวิเคราะห์มักใช้กราฟแท่งเทียน 1 วินาที หรือ 5 วินาที
**Medium-term Expiries (15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง):** เหมาะสำหรับการเทรดตามรูปแบบ Candlestick pattern หรือการกลับตัวของราคาในระยะสั้นถึงกลาง
**Long-term Expiries (หลายชั่วโมง ถึง สิ้นวัน):** เหมาะสำหรับการเทรดตาม แนวโน้ม หลัก หรือการใช้เครื่องมือที่ต้องการเวลาในการทำงาน เช่น Elliott wave

ข้อผิดพลาดทั่วไปในการเลือก Expiry Time

**เลือก Expiry สั้นเกินไป:** หากคุณวิเคราะห์โดยใช้กราฟ 5 นาที แต่ตั้งเวลาหมดอายุเพียง 1 นาที โอกาสที่ราคาจะแกว่งตัวผิดทางมีสูงมาก
**เลือก Expiry ยาวเกินไป:** หากคุณใช้กลยุทธ์ที่เน้นการกลับตัวระยะสั้น การตั้งเวลาหมดอายุยาวเกินไปอาจทำให้แนวโน้มที่คุณคาดการณ์ไว้ถูกตลาดกลืนหายไป

- ตัวอย่างการจับคู่:**

การวิเคราะห์ที่ใช้	กรอบเวลาที่เหมาะสม	เวลาหมดอายุที่แนะนำ
การกลับตัวของ Support and resistance บนกราฟ 1H	1 ชั่วโมง (H1)	15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
การยืนยันรูปแบบแท่งเทียนบนกราฟ 5M	5 นาที (M5)	3 นาที ถึง 10 นาที

- คำแนะนำสำหรับมือใหม่:** เริ่มต้นด้วยการเทรดในกรอบเวลา 5 นาที และตั้ง Expiry time ไว้ที่ 3 ถึง 5 นาที เพื่อให้คุณมีเวลาในการสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาหลังการเปิดออปชัน และลดความเครียดจากการเทรดที่รวดเร็วเกินไป

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

การเลือกสินทรัพย์และเวลาหมดอายุจะไร้ความหมายหากปราศจากการวิเคราะห์ที่ดี นักลงทุน Binary Options มักใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคา

1. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

เปรียบเสมือน "พื้น" และ "เพดาน" ของราคา

**แนวรับ (Support):** ระดับราคาที่คาดว่าแรงซื้อจะเข้ามาต้านทานการลดลง (โอกาสซื้อ Call)
**แนวต้าน (Resistance):** ระดับราคาที่คาดว่าแรงขายจะเข้ามาต้านทานการเพิ่มขึ้น (โอกาสซื้อ Put)
**ข้อผิดพลาด:** การตั้งออปชันให้หมดอายุใกล้กับแนวรับ/แนวต้านมากเกินไป หากราคาเพียงแค่ "แตะ" แล้วทะลุผ่านไปเพียงเล็กน้อย คุณอาจจะแพ้ได้

2. ตัวชี้วัดความแข็งแกร่ง (Indicators)

ตัวชี้วัดช่วยให้เราเข้าใจโมเมนตัมและความแข็งแกร่งของ แนวโน้ม

**Relative Strength Index (RSI):** วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา

   *   *การใช้งานง่าย:* หาก RSI ต่ำกว่า 30 อาจหมายถึงสภาวะซื้อมากเกินไป (Oversold) ซึ่งเป็นสัญญาณซื้อ Call
   *   *ข้อควรระวัง:* ในตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง RSI อาจติดอยู่ในโซน Overbought/Oversold เป็นเวลานาน

**Moving Average Convergence Divergence (MACD):** ช่วยระบุโมเมนตัมและทิศทางของแนวโน้ม

   *   *การใช้งานง่าย:* เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal Line อาจเป็นสัญญาณซื้อ

**Bollinger Bands:** วัดความผันผวนของราคา

   *   *การใช้งานง่าย:* เมื่อราคาสัมผัสขอบนอกของแถบ อาจบ่งชี้ถึงการกลับตัวในระยะสั้น

3. การวิเคราะห์คลื่น (Elliott Wave Theory)

นี่เป็นทฤษฎีที่ซับซ้อนกว่า แต่มีประโยชน์ในการระบุโครงสร้างของตลาด

**แนวคิดหลัก:** ราคาเคลื่อนที่เป็นรูปแบบคลื่นซ้ำๆ (5 คลื่นตามแนวโน้ม และ 3 คลื่นสวนแนวโน้ม)
**ข้อดี:** ช่วยให้คาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มปัจจุบันใกล้จะจบลงหรือไม่ ซึ่งสำคัญมากในการกำหนด Expiry time
**ข้อผิดพลาด:** การนับคลื่นผิดพลาดได้ง่ายมาก มือใหม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ทฤษฎีนี้เป็นเครื่องมือหลักจนกว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้

การจัดการความเสี่ยงและขนาดการลงทุน (Position Sizing)

แม้ว่า Binary Options จะมีความเสี่ยงจำกัด แต่การขาดวินัยในการลงทุนอาจทำให้เงินทุนหมดลงอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจ การบริหารความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการหากลยุทธ์ที่ทำกำไร 100%

กฎการเสี่ยงต่อการเทรด (Risk per Trade)

นักเทรดมืออาชีพไม่เคยเสี่ยงเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว

**กฎ 1-2%:** ไม่ควรเสี่ยงเงินลงทุนเกิน 1% ถึง 2% ของเงินทุนรวมทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว
**ตัวอย่าง:** หากคุณมีเงินทุน 1,000 บาท คุณไม่ควรเปิดออปชันที่มีมูลค่าเกิน 20 บาทต่อครั้ง

การจำกัดการขาดทุนรายวัน (Daily Loss Limit)

การตั้งขีดจำกัดการขาดทุนรายวันช่วยป้องกันการเทรดแบบแก้แค้น (Revenge Trading) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการล้างพอร์ต

**การตั้งค่า:** กำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยอมรับการขาดทุนได้ในหนึ่งวัน เช่น 5% ของเงินทุน
**การดำเนินการ:** เมื่อคุณขาดทุนถึงขีดจำกัดนี้ ให้หยุดเทรดทันที ไม่ว่าจะรู้สึกว่าโอกาสถัดไปจะดีแค่ไหนก็ตาม

การใช้ Trading Journal

การบันทึกทุกการเทรดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณกำลังทดสอบการจับคู่ระหว่างสินทรัพย์, Expiry Time และรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน

**สิ่งที่ต้องบันทึก:** สินทรัพย์, เวลาเปิด/ปิด, Expiry Time, กลยุทธ์ที่ใช้ (เช่น RSI 70/30), ผลลัพธ์ (Win/Loss), และเหตุผลในการตัดสินใจ

ขั้นตอนการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม (ตัวอย่างทั่วไป)

ขั้นตอนการเปิดออปชันไบนารีมักจะคล้ายกันในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น IQ Option หรือ Pocket Option

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมการและการเลือกสินทรัพย์

เข้าสู่ระบบแพลตฟอร์มของคุณ (แนะนำให้ใช้บัญชี Demo ก่อน)
เลือกสินทรัพย์อ้างอิงที่ต้องการ เช่น EUR/USD
ตั้งค่ากราฟให้แสดงผลเป็น Timeframe ที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ (เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที)

ขั้นตอนที่ 2: การกำหนดค่าการลงทุน

เลือกจำนวนเงินลงทุน (ตามหลัก Position sizing ไม่ควรเกิน 1-2% ของพอร์ต)
ตรวจสอบอัตรา Payout ที่แสดงอยู่ (เช่น 82%)
เลือก Expiry time ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของคุณ (เช่น 5 นาที)

ขั้นตอนที่ 3: การวิเคราะห์และการตัดสินใจ

วิเคราะห์กราฟโดยใช้เครื่องมือที่คุณเลือก (เช่น รอให้ RSI ลงไปต่ำกว่า 30)
เมื่อสัญญาณปรากฏ ให้ตัดสินใจทิศทาง:

   *   คาดว่าราคาจะขึ้น: เตรียมกดปุ่ม CALL (สีเขียว)
   *   คาดว่าราคาจะลง: เตรียมกดปุ่ม PUT (สีแดง)

ขั้นตอนที่ 4: การเปิดออปชันและการรอผล

กดปุ่ม CALL หรือ PUT ตามการวิเคราะห์ของคุณ
แพลตฟอร์มจะแสดงเส้นราคาเปิด (Strike Price) และเส้นประที่แสดงตำแหน่งราคาเมื่อถึง Expiry time
รอจนกว่าเวลาจะหมดอายุ หากราคาปิดอยู่ด้านที่ถูกต้อง คุณจะได้รับ Payout ตามที่กำหนดไว้

การเลือกโบรกเกอร์และการปฏิบัติตามข้อกำหนด

การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Binary Options เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลสูง ควรศึกษา การเลือกโบรกเกอร์ Binary Option และ การเลือกโบรกเกอร์ที่ปลอดภัย อย่างถี่ถ้วน

สิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับโบรกเกอร์

**การกำกับดูแล (Regulation):** โบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ (เช่น CySEC, FCA ในอดีต) มักจะมีความโปร่งใสมากกว่า
**ประเภทบัญชี:** โบรกเกอร์มักเสนอ Demo Account, Standard Account, VIP Account ซึ่งมีข้อกำหนดการฝากขั้นต่ำและ Payout ที่แตกต่างกัน
**การฝาก/ถอนเงิน:** ตรวจสอบวิธีการฝาก/ถอน ความเร็ว และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
**KYC (Know Your Customer):** การยืนยันตัวตนเป็นขั้นตอนมาตรฐานเพื่อป้องกันการฟอกเงิน แต่ต้องแน่ใจว่าโบรกเกอร์มีการจัดการข้อมูลส่วนตัวอย่างปลอดภัย

ความเสี่ยงของโบนัสและโปรโมชั่น

โบรกเกอร์หลายแห่งเสนอโบนัสเงินฝาก (เช่น ฝาก 100 แถม 100) แต่มักมีเงื่อนไขการทำยอดเทิร์นโอเวอร์ที่สูงมากก่อนที่จะสามารถถอนกำไรได้

**คำแนะนำ:** มือใหม่ควรหลีกเลี่ยงการรับโบนัสจนกว่าจะเข้าใจเงื่อนไขการถอนเงินอย่างสมบูรณ์ การเทรดด้วยเงินทุนของตัวเองโดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดจะดีกว่า

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง

Binary Options ไม่ใช่ "ทางลัดสู่ความร่ำรวย" แต่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ต้องใช้ทักษะ วินัย และการจัดการความเสี่ยง

ความคาดหวังที่ไม่สมจริง

การทำกำไร 100% ในทุกสัปดาห์
การชนะทุกการเทรด
การทำกำไรโดยไม่ต้องมีการวิเคราะห์ใดๆ

ความคาดหวังที่เป็นจริง

**Win Rate เป้าหมาย:** การมีอัตราการชนะที่สม่ำเสมอที่ 55% - 65% ถือว่าดีมากในตลาดนี้ หากคุณมีการบริหารเงินที่ดี
**ความสม่ำเสมอ:** กำไรจะมาจากการทำซ้ำกลยุทธ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วอย่างมีวินัย
**การยอมรับการขาดทุน:** การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด คุณต้องวางแผนว่าจะขาดทุนได้เท่าไหร่ในแต่ละวัน/สัปดาห์

การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม การจับคู่ Expiry time กับกลยุทธ์ของคุณ และการเข้าใจว่าคุณจะได้รับ Payout เท่าใดเมื่อชนะ ล้วนเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การเทรด Binary option มีโครงสร้างที่มั่นคงสำหรับผู้เริ่มต้น

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การเลือกสินทรัพย์ เวลาหมดอายุ และรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน

Contents