การกำหนดราคา การเลือกราคาใช้สิทธิ และผลลัพธ์กำไรขาดทุน

การกำหนดราคา การเลือกราคาใช้สิทธิ และผลลัพธ์กำไรขาดทุนใน Binary Options สำหรับมือใหม่

Binary option เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความเรียบง่ายแต่มีข้อกำหนดเฉพาะตัวที่แตกต่างจากการซื้อขายแบบดั้งเดิมอย่างมาก สำหรับมือใหม่ การทำความเข้าใจว่าราคาถูกกำหนดอย่างไร ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) คืออะไร และผลลัพธ์กำไรขาดทุน (Payout) ถูกคำนวณอย่างไร เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จและการบริหารความเสี่ยงที่ดี บทความนี้จะอธิบายพื้นฐานเหล่านี้อย่างละเอียด

พื้นฐานการกำหนดราคาและการทำงานของ Binary Options

Binary Options หรือ ออปชั่นแบบเลขฐานสอง มีลักษณะเด่นคือผลตอบแทนที่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่จำกัดไว้ล่วงหน้า คุณไม่ได้ซื้อหรือขายสินทรัพย์จริง แต่คุณกำลังคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์) ว่าจะสูงกว่าหรือต่ำกว่าระดับราคาที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่กำหนด

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) คืออะไร

ราคาใช้สิทธิ หรือที่เรียกว่าราคาตั้งต้น (Entry Price) คือระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลาที่คุณทำการซื้อขาย Call option หรือ Put option

**สำหรับ Call Option (ซื้อ):** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะ **สูงกว่า** ราคาใช้สิทธิเมื่อถึงเวลาหมดอายุ
**สำหรับ Put Option (ขาย):** คุณคาดการณ์ว่าราคาจะ **ต่ำกว่า** ราคาใช้สิทธิเมื่อถึงเวลาหมดอายุ

ราคาใช้สิทธินี้ถูกกำหนดโดยโบรกเกอร์ ณ วินาทีที่คุณกดซื้อขาย และเป็นจุดอ้างอิงเดียวในการตัดสินผลแพ้ชนะ

ความสัมพันธ์กับราคาตลาดปัจจุบัน

ราคาใช้สิทธิมักจะสัมพันธ์กับราคาตลาดปัจจุบัน ณ ขณะนั้น แต่ความสัมพันธ์นี้จะกำหนดสถานะของสัญญาเมื่อหมดอายุ:

**In-the-money (ITM):** สถานะที่สัญญาของคุณมีกำไรตามที่คาดการณ์ไว้

   *   Call ITM: ราคาตลาด ณ หมดอายุ > ราคาใช้สิทธิ
   *   Put ITM: ราคาตลาด ณ หมดอายุ < ราคาใช้สิทธิ

**Out-of-the-money (OTM):** สถานะที่สัญญาของคุณขาดทุนตามที่คาดการณ์ไว้
**At-the-money (ATM):** ราคาตลาด ณ หมดอายุ เท่ากับ ราคาใช้สิทธิ (โดยทั่วไปถือว่าขาดทุนหรือคืนเงินลงทุน ขึ้นอยู่กับกฎของโบรกเกอร์)

เวลาหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time คือช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าการคาดการณ์ของคุณจะถูกตัดสิน ณ จุดใด การเลือก การเลือกกรอบเวลา ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะการวิเคราะห์ระยะสั้น (เช่น 1 นาที) ต้องการการดู Candlestick pattern ที่แตกต่างจากการวิเคราะห์ระยะยาว (เช่น 1 ชั่วโมง)

**ข้อควรระวัง:** ใน Binary Options เวลาหมดอายุมีความสำคัญสูงสุด เพราะหากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้องแต่กลับมาที่ราคาใช้สิทธิก่อนหมดอายุเพียงเสี้ยววินาที สัญญานั้นจะถือว่าขาดทุน

การคำนวณผลลัพธ์กำไรขาดทุน (Payout Logic)

ในตลาดการเงินทั่วไป กำไรจะขึ้นอยู่กับขนาดของการเคลื่อนไหวของราคา แต่ใน Binary Options กำไรจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามอัตรา Payout ที่โบรกเกอร์เสนอ

อัตราการจ่ายผลตอบแทน (Payout)

Payout คือจำนวนเงินที่คุณจะได้รับคืนรวมเงินลงทุน หากคุณชนะการซื้อขาย โดยทั่วไปจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินลงทุน (Position sizing)

ตัวอย่าง: หากคุณลงทุน 100 บาท และโบรกเกอร์เสนอ Payout 85% หากคุณชนะ คุณจะได้เงินคืน 100 บาท (เงินลงทุน) + 85 บาท (กำไร) รวมเป็น 185 บาท
หากคุณแพ้ คุณจะเสียเงินลงทุนเต็มจำนวน (100 บาท)

อัตรา Payout นี้มีความผันผวนตามสินทรัพย์และ Expiry time ที่เลือก การเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเวลาหมดอายุสั้น อาจทำให้อัตรา Payout ต่ำลง

สถานะสัญญา	การลงทุน	Payout (สมมติ 80%)	ผลลัพธ์ (ชนะ)	ผลลัพธ์ (แพ้)
ITM (ชนะ)	100 บาท	80%	ได้รับ 180 บาท (กำไร 80 บาท)	-
OTM (แพ้)	100 บาท	80%	-	เสีย 100 บาท

ความเสี่ยงที่จำกัด (Risk Management)

ข้อดีหลักของ Binary Options คือความเสี่ยงถูกจำกัดไว้ที่เงินลงทุนต่อสัญญาเท่านั้น นี่คือหัวใจสำคัญของ การบริหารความเสี่ยงพื้นฐาน การกำหนดขนาดการลงทุน และการจำกัดการขาดทุนรายวัน คุณไม่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมากกว่าเงินที่คุณใส่เข้าไปในสัญญานั้นๆ

**การจัดการความเสี่ยงรายวัน:** นักเทรดมือใหม่ควรกำหนดเพดานการขาดทุนรายวันอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่เกิน 2-5% ของเงินทุนทั้งหมด เพื่อป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การบริหารความเสี่ยงพื้นฐาน การกำหนดขนาดการลงทุน และการจำกัดการขาดทุนรายวัน)

ขั้นตอนการซื้อขาย Binary Options บนแพลตฟอร์ม (Workflow)

แม้ว่าแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น IQ Option หรือ Pocket Option จะมีหน้าตาที่แตกต่างกัน แต่ขั้นตอนพื้นฐานในการเข้าสู่ตำแหน่งซื้อขายนั้นเหมือนกันเกือบทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 1: การเลือกสินทรัพย์และตรวจสอบ Payout

ก่อนอื่น คุณต้องเลือกสินทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อขาย เช่น EUR/USD หรือทองคำ (XAU/USD) และตรวจสอบอัตรา Payout ที่เสนอในขณะนั้น

*คำแนะนำ:* สำหรับมือใหม่ ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและมี Payout ที่สม่ำเสมอ (ดู การเลือกสินทรัพย์ เวลาหมดอายุ และรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน)

ขั้นตอนที่ 2: การเลือกกรอบเวลา (Timeframe) และเวลาหมดอายุ (Expiry Time)

เลือก Timeframe บนกราฟ (เช่น 5 นาที) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
เลือก Expiry time (เช่น 1 นาที, 5 นาที, 30 นาที) ซึ่งมักจะเป็นตัวคูณของ Timeframe หรือเป็นค่าคงที่ที่โบรกเกอร์กำหนด การเลือกกรอบเวลาและเวลาหมดอายุควรสอดคล้องกันตามกลยุทธ์ของคุณ การเลือกกรอบเวลา

ขั้นตอนที่ 3: การวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทาง

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะไปทางไหนเมื่อถึงเวลาหมดอายุ

**การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend):** ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นหรือขาลง?
**การใช้เครื่องมือ:** เช่น การดู Support and resistance เพื่อหาแนวรับ/แนวต้าน หรือใช้ตัวชี้วัดเช่น RSI เพื่อดูภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป

ขั้นตอนที่ 4: การกำหนดราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และการเข้าซื้อขาย

ใน Binary Options ส่วนใหญ่ ราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดโดยอัตโนมัติเป็นราคาปัจจุบัน ณ ขณะที่ทำการซื้อขาย (ยกเว้นบางรูปแบบเช่น Range Options)

**กำหนดจำนวนเงินลงทุน (Position Sizing):** ตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเท่าไรในการเทรดนี้ (สำคัญมากสำหรับการ การบริหารความเสี่ยงพื้นฐาน การกำหนดขนาดการลงทุน และการจำกัดการขาดทุนรายวัน)
**เลือกทิศทาง:** กดปุ่ม "Call" (ขึ้น) หรือ "Put" (ลง)
**ยืนยัน:** ระบบจะเปิดสัญญา โดยมีราคาใช้สิทธิคือราคาปัจจุบัน และจะปิดเมื่อถึง Expiry time ที่กำหนด

ขั้นตอนที่ 5: การติดตามและผลลัพธ์

เมื่อสัญญาเปิดแล้ว คุณไม่สามารถยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนได้ คุณเพียงแค่ต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาหมดอายุ หากราคาเป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ คุณจะได้รับ Payout ตามที่ตกลงไว้ หากไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ คุณจะสูญเสียเงินลงทุน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค: การใช้เครื่องมือเพื่อกำหนดราคาใช้สิทธิอย่างมีเหตุผล

แม้ว่าราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดโดยตลาด ณ ขณะนั้น แต่การเลือกเวลาเข้าซื้อขาย (ซึ่งกำหนดราคาใช้สิทธิ) ควรอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง

1. แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับและแนวต้านเปรียบเสมือน "พื้น" และ "เพดาน" ของราคา

**แนวคิด:** ราคาที่เคยเด้งกลับจากระดับหนึ่งหลายครั้ง บ่งชี้ว่าระดับนั้นมีความแข็งแกร่ง
**การประยุกต์ใช้ใน BO:**

   *   หากคาดว่าราคาจะทะลุแนวต้าน (Breakout) ให้เลือก Call เมื่อราคากำลังจะชนแนวต้านนั้น
   *   หากคาดว่าราคาจะเด้งกลับจากแนวรับ ให้เลือก Put หากราคากำลังจะชนแนวรับนั้น (โดยพิจารณาจาก Trend โดยรวม)

**ข้อผิดพลาดทั่วไป:** การเข้าซื้อขายทันทีที่ราคาชนแนวรับ/ต้าน โดยไม่รอการยืนยันรูปแบบแท่งเทียน

2. ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)

ตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยบอกว่าราคาเคลื่อนไหวแรงแค่ไหน และมีแนวโน้มจะกลับตัวหรือไม่

**RSI (Relative Strength Index):** เปรียบเสมือนมาตรวัดความร้อนของตลาด

   *   ค่าสูง (>70) บ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจ "ซื้อมากเกินไป" (Overbought) อาจเป็นสัญญาณที่ดีในการเปิด Put
   *   ค่าต่ำ (<30) บ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจ "ขายมากเกินไป" (Oversold) อาจเป็นสัญญาณที่ดีในการเปิด Call

**MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ช่วยระบุการเปลี่ยนแปลงของ Trend

   *   **การใช้งาน:** เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ อาจเป็นสัญญาณ Call และเมื่อตัดลง อาจเป็นสัญญาณ Put

3. รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns)

Candlestick pattern คือการอ่านภาษากราฟโดยตรง ซึ่งสำคัญมากสำหรับการเทรดระยะสั้น (เช่น 1-5 นาที)

**ตัวอย่าง:** รูปแบบค้อน (Hammer) หรือ ดาวตก (Shooting Star) ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ/แนวต้าน เป็นสัญญาณยืนยันที่ทรงพลังมาก
**การตรวจสอบความถูกต้อง:** รูปแบบแท่งเทียนที่สมบูรณ์ (เช่น มีไส้เทียนยาว) ที่เกิดขึ้นบน Timeframe ที่ใหญ่กว่า (เช่น 15 นาที) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นบน Timeframe 1 นาที

4. ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Theory)

สำหรับนักเทรดที่มองภาพรวมระยะกลางถึงยาว Elliott wave ช่วยในการระบุว่าตลาดอยู่ในช่วงการปรับฐาน (Correction) หรือช่วงการเคลื่อนไหวหลัก (Impulse)

**ข้อควรระวัง:** ทฤษฎีนี้มีความซับซ้อนสูง มือใหม่ควรใช้เป็นเพียงเครื่องมือเสริม หรือใช้กับ Expiry time ที่ยาวขึ้นเท่านั้น

การตั้งค่าและการจัดการบัญชีบนแพลตฟอร์ม (ตัวอย่าง: IQ Option/Pocket Option)

การทำความเข้าใจส่วนประกอบของแพลตฟอร์มเป็นสิ่งจำเป็นก่อนเริ่มลงทุนจริง (ดู ส่วนประกอบสำคัญของแพลตฟอร์ม Binary Options ที่มือใหม่ควรรู้)

บัญชีทดลอง (Demo Account)

**ความสำคัญ:** ทุกโบรกเกอร์ที่ดีควรมีบัญชีทดลองให้คุณฝึกฝนโดยใช้เงินปลอม
**การใช้งาน:** ใช้บัญชีทดลองเพื่อทำความคุ้นเคยกับอินเทอร์เฟซ การตั้งค่าคำสั่งซื้อขาย และการทดสอบกลยุทธ์ของคุณโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงินจริง

การนำทางและสินทรัพย์

**การนำทาง:** เรียนรู้วิธีเปลี่ยนประเภทกราฟ (เช่น จากแท่งเทียนเป็นเส้น) และวิธีเพิ่มตัวชี้วัดทางเทคนิค
**สินทรัพย์และ Payout:** ตรวจสอบตารางสินทรัพย์และอัตรา Payout ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม

ประเภทบัญชี (โดยทั่วไป)

ประเภทบัญชี	เงินฝากเริ่มต้น (โดยประมาณ)	คุณสมบัติเด่น
Micro/Standard	$10 - $100	เข้าถึงสินทรัพย์พื้นฐาน, Payout มาตรฐาน
Pro/VIP	$500 ขึ้นไป	Payout สูงกว่าเล็กน้อย, ผู้จัดการบัญชีส่วนตัว (ควรระวังโบนัส)

ความเสี่ยงของโบนัสและโปรโมชั่น

โบรกเกอร์มักเสนอโบนัสเงินฝาก (เช่น ฝาก $100 ได้โบนัส $50) อย่างไรก็ตาม โบนัสเหล่านี้มักมาพร้อมกับเงื่อนไขการซื้อขายที่เข้มงวด (Turnover requirement) ซึ่งอาจทำให้คุณไม่สามารถถอนเงินได้จนกว่าจะทำปริมาณการซื้อขายถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้สูงมาก

การฝากและถอนเงิน (Deposit/Withdrawal)

**การฝาก:** มักทำได้รวดเร็วผ่านบัตรเครดิต/เดบิต หรือ e-wallets
**การถอน:** เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นักเทรดควรตรวจสอบนโยบายการถอนเงินของโบรกเกอร์อย่างละเอียดก่อนฝากเงินจริง การถอนเงินอาจใช้เวลาหลายวันทำการ และมักจะต้องผ่านกระบวนการ KYC (Know Your Customer)

KYC และข้อกำหนดด้านกฎหมาย

KYC คือการยืนยันตัวตน (เช่น สำเนาบัตรประชาชนและหลักฐานที่อยู่) เพื่อป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งเป็นข้อบังคับสำหรับโบรกเกอร์ที่ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย โปรดตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ที่คุณเลือกนั้นมีการกำกับดูแลที่เหมาะสมในเขตอำนาจศาลของคุณ

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริงและการบันทึกผลการเทรด

สำหรับมือใหม่ การตั้งความคาดหวังที่ผิดคือสาเหตุหลักของการล้มเหลวใน Binary Options

อัตราความสำเร็จที่สมจริง

เนื่องจากคุณต้องชนะมากกว่า 50% เพื่อให้ได้กำไร (เพราะหากเสมอจะเสียเงินลงทุน หรือได้คืนน้อยกว่าที่เสียไปในกรณีที่แพ้) อัตราความสำเร็จที่ยั่งยืนสำหรับนักเทรดมืออาชีพมักจะอยู่ในช่วง 55% ถึง 65%

หากคุณเทรดด้วย Payout 80% คุณต้องชนะอย่างน้อย 56 ครั้งจาก 100 ครั้งเพื่อให้มีกำไรสุทธิเล็กน้อย

การคำนวณจุดคุ้มทุน (Breakeven Point)

ถ้า Payout คือ $R$ (เช่น 0.80) คุณต้องชนะกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อไม่ให้ขาดทุน?

สูตรโดยประมาณ: จุดคุ้มทุน % = 100 / (1 + R)

ตัวอย่าง: ถ้า R = 80% (0.80) -> 100 / (1 + 0.80) = 100 / 1.80 = 55.55%
**หมายความว่า:** คุณต้องชนะอย่างน้อย 56% ของการเทรดทั้งหมดจึงจะเริ่มทำกำไรได้

การบันทึกและทบทวนผลงาน

การมี Trading journal เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะการเทรดของคุณ

**บันทึกทุกการเทรด:** บันทึกสินทรัพย์, Expiry time, ราคาใช้สิทธิ, จำนวนเงินลงทุน, เหตุผลในการเข้าเทรด (อ้างอิงจากตัวชี้วัดใด), และผลลัพธ์
**วิเคราะห์ข้อผิดพลาด:** ทบทวนการเทรดที่ขาดทุน (OTM) เพื่อดูว่าคุณละเมิดกฎ Risk management หรือไม่ หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคผิดพลาดตรงไหน

สรุปสำหรับมือใหม่

Binary Options เป็นการเทรดที่เน้นความแม่นยำของทิศทางในกรอบเวลาสั้นๆ ความเข้าใจใน **ราคาใช้สิทธิ** (จุดเริ่มต้น) และ **Payout** (ผลตอบแทน) คือหัวใจสำคัญในการคำนวณความเสี่ยง

เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลองเสมอ
อย่าไล่ตามราคาเมื่อพลาดการเข้าซื้อขาย
ให้ความสำคัญกับการจำกัดการขาดทุนรายวันมากกว่าการทำกำไรก้อนใหญ่ในครั้งเดียว

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การกำหนดราคา การเลือกราคาใช้สิทธิ และผลลัพธ์กำไรขาดทุน

Contents