การเลือกราคาใช้สิทธิ์และการกำหนดสถานะกำไรขาดทุน

การเลือกราคาใช้สิทธิ์และการกำหนดสถานะกำไรขาดทุนใน Binary Option

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "ราคาใช้สิทธิ์" (Strike Price) และ "สถานะกำไรขาดทุน" (In-the-money/Out-of-the-money) เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย Binary option เนื่องจากผลลัพธ์ทั้งหมดของการลงทุนขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดเมื่อเทียบกับราคาตั้งต้นที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่เปิดสัญญา

บทความนี้จะเน้นเฉพาะการอธิบายแนวคิดเหล่านี้อย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกราคาและเข้าใจความเสี่ยง/ผลตอบแทนได้อย่างชัดเจน

ราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price) คืออะไร?

ในบริบทของ Binary option ราคาใช้สิทธิ์ (หรือบางครั้งเรียกว่าราคาเริ่มต้น หรือราคาปิด) คือระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน, หุ้น, หรือสินค้าโภคภัณฑ์) ณ เวลาที่คุณทำการเปิดสัญญาซื้อขาย

ราคาใช้สิทธิ์นี้ทำหน้าที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) ในการตัดสินว่าสัญญาของคุณจะ "ชนะ" (ได้กำไร) หรือ "แพ้" (ขาดทุน) เมื่อถึง Expiry time (เวลาหมดอายุ)

การเลือกราคาใช้สิทธิ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันกำหนดความยากง่ายในการทำนายผลลัพธ์

• ถ้าคุณคาดว่าราคาจะขึ้น คุณจะเลือก Call option โดยหวังว่าราคาปิดจะสูงกว่าราคาใช้สิทธิ์
• ถ้าคุณคาดว่าราคาจะลง คุณจะเลือก Put option โดยหวังว่าราคาปิดจะต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์

ราคาใช้สิทธิ์มักจะเป็นราคาตลาดปัจจุบัน ณ วินาทีที่คุณกดปุ่มซื้อ อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มบางแห่งอาจอนุญาตให้คุณเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่อยู่ห่างจากราคาปัจจุบันเล็กน้อย ซึ่งจะส่งผลต่อ Payout ที่คุณจะได้รับ (ยิ่งคาดการณ์ยากขึ้น Payout อาจสูงขึ้น หรือต้องใช้เวลาในการหมดอายุที่นานขึ้น)

สถานะกำไรขาดทุน: In-the-money และ Out-of-the-money

สถานะของสัญญาไบนารี่ออปชั่น ณ เวลาหมดอายุจะถูกตัดสินโดยการเปรียบเทียบราคาสุดท้ายของสินทรัพย์อ้างอิงกับราคาใช้สิทธิ์

1. ความหมายของ In-the-money (ITM)

สถานะ In-the-money หมายถึง สถานการณ์ที่สัญญาของคุณ "ถูกต้อง" ตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การได้รับ Payout ตามที่ตกลงไว้

• **สำหรับ Call Option:** ราคาปิด ณ เวลาหมดอายุ ต้อง **สูงกว่า** ราคาใช้สิทธิ์
• **สำหรับ Put Option:** ราคาปิด ณ เวลาหมดอายุ ต้อง **ต่ำกว่า** ราคาใช้สิทธิ์

เมื่อสัญญาเป็น ITM คุณจะได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมกับกำไรตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดไว้ (เช่น หากลงทุน 100 บาท และ Payout คือ 85% คุณจะได้รับเงินคืนรวม 185 บาท)

1. ความหมายของ Out-of-the-money (OTM)

สถานะ Out-of-the-money หมายถึง สถานการณ์ที่สัญญาของคุณ "ผิดพลาด" ตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในสัญญานั้น

• **สำหรับ Call Option:** ราคาปิด ณ เวลาหมดอายุ **ต่ำกว่าหรือเท่ากับ** ราคาใช้สิทธิ์
• **สำหรับ Put Option:** ราคาปิด ณ เวลาหมดอายุ **สูงกว่าหรือเท่ากับ** ราคาใช้สิทธิ์

หากสัญญาเป็น OTM คุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดในสัญญานั้น โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม (นี่คือจุดที่แตกต่างจากการเทรดแบบฟอเร็กซ์หรือ CFD ที่อาจมีการเรียกหลักประกันเพิ่ม)

1. สถานะ At-the-money (ATM)

สถานะนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาปิด ณ เวลาหมดอายุ **เท่ากับ** ราคาใช้สิทธิ์พอดี ในกรณีส่วนใหญ่ (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของโบรกเกอร์) สัญญาที่จบลงแบบ ATM ถือเป็น OTM และคุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด หรือในบางกรณี โบรกเกอร์อาจคืนเงินลงทุนเริ่มต้นให้เท่านั้น (แต่กรณีคืนเงินมักไม่พบบ่อยนักในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นทั่วไป)

ตารางเปรียบเทียบสถานะกำไรขาดทุน

สรุปสถานะกำไรขาดทุนสำหรับ Binary Option

ประเภทสัญญา	เงื่อนไขราคาปิด	สถานะ	ผลลัพธ์
Call Option	ราคาปิด > ราคาใช้สิทธิ์	In-the-money (ITM)	ได้รับ Payout
Call Option	ราคาปิด <= ราคาใช้สิทธิ์	Out-of-the-money (OTM)	สูญเสียเงินลงทุน
Put Option	ราคาปิด < ราคาใช้สิทธิ์	In-the-money (ITM)	ได้รับ Payout
Put Option	ราคาปิด >= ราคาใช้สิทธิ์	Out-of-the-money (OTM)	สูญเสียเงินลงทุน

การประยุกต์ใช้ราคาใช้สิทธิ์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

นักเทรดไม่ได้เลือกราคาใช้สิทธิ์แบบสุ่ม แต่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อกำหนดระดับราคาที่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะถูกทะลุผ่านหรือไม่ภายใน Expiry time ที่กำหนดไว้

1. 1. การใช้แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance)

แนวรับและแนวต้านเป็นระดับราคาที่ตลาดเคยมีการกลับตัวหรือชะลอตัวในอดีต ซึ่งเป็นจุดที่นักเทรดมักใช้ในการกำหนดราคาใช้สิทธิ์

• **การเทรดตามแนวต้าน (Resistance):** หากราคาปัจจุบันอยู่ใกล้แนวต้านมาก และคุณคาดว่าราคาจะไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ก่อนหมดอายุ คุณอาจเลือก Put option โดยตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ที่ระดับแนวต้านนั้น หรือสูงกว่าเล็กน้อยเล็กน้อย (เผื่อความผันผวนระยะสั้น)
• **การเทรดตามแนวรับ (Support):** หากราคาอยู่ใกล้แนวรับ และคุณคาดว่าราคาจะเด้งกลับ คุณอาจเลือก Call option โดยตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ที่ระดับแนวรับนั้น หรือต่ำกว่าเล็กน้อย

การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่อยู่ห่างจากแนวรับ/แนวต้านมากเกินไป (OTM สูง) จะเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ลด Payout ลง (หากโบรกเกอร์มีตัวเลือกนี้) หรือทำให้ต้องใช้ Expiry time ที่นานขึ้น

1. 2. การเลือกตาม Trend และโมเมนตัม

หากตลาดอยู่ใน Trend ที่แข็งแกร่ง (เช่น ขาขึ้น) นักเทรดส่วนใหญ่มักจะเลือก Call option และตั้งราคาใช้สิทธิ์ให้ใกล้กับราคาปัจจุบันมากที่สุด เพื่อให้การคาดการณ์เป็นไปในทิศทางเดียวกับโมเมนตัม

• **การยืนยันด้วยตัวชี้วัด:** หาก RSI บ่งชี้ว่าสินทรัพย์ยังไม่เข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ในขณะที่ราคากำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว การเลือก Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ์ใกล้เคียงราคาปัจจุบันจึงมีความสมเหตุสมผล

1. 3. การพิจารณา Expiry time และความผันผวน

การเลือกราคาใช้สิทธิ์ต้องสัมพันธ์กับ Expiry time อย่างแยกกันไม่ออก

• **เวลาสั้น (เช่น 1-5 นาที):** การเคลื่อนไหวของราคาจะถูกจำกัดมาก นักเทรดมักเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ "ใกล้" กับราคาปัจจุบันมากที่สุด (ITM สูง) เพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรงอาจไม่เกิดขึ้นทันที
• **เวลายาว (เช่น 30 นาทีขึ้นไป):** มีโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนที่ผ่านระดับแนวรับ/แนวต้านได้ ดังนั้น การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ "ห่างออกไป" (OTM) อาจเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ หากคุณคาดการณ์การเปลี่ยนแปลง Trend ในระยะกลาง

ขั้นตอนการกำหนดราคาใช้สิทธิ์และการตัดสินใจเปิดสัญญา

สำหรับผู้เริ่มต้น การกำหนดราคาใช้สิทธิ์ควรเป็นไปตามหลักการที่เรียบง่ายและสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ใช้

1. ขั้นตอนที่ 1: การวิเคราะห์ตลาดและเลือกสินทรัพย์

ก่อนอื่น ทำความเข้าใจว่าคุณกำลังเทรดอะไร เช่น คู่เงิน EUR/USD และช่วงเวลาที่คุณสนใจ

• ตรวจสอบ Candlestick pattern ล่าสุดเพื่อดูโมเมนตัม
• ระบุแนวรับและแนวต้านสำคัญบนกราฟที่คุณใช้ (เช่น กราฟ 5 นาที หรือ 15 นาที)

1. ขั้นตอนที่ 2: การกำหนดทิศทางและประเภทสัญญา

• ตัดสินใจว่าจะซื้อ Call option (ขึ้น) หรือ Put option (ลง)
• **ตัวอย่าง:** คุณเห็นว่าราคาชนแนวต้านที่ 1.10000 และ RSI เริ่มลดลง คุณตัดสินใจเปิด Put Option

1. ขั้นตอนที่ 3: การกำหนด Expiry time

• เลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสมกับความเร็วในการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์นั้นๆ (เช่น 5 นาที)

1. ขั้นตอนที่ 4: การเลือกราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price Selection)

นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด คุณต้องเลือกระหว่างการเสี่ยงสูงเพื่อกำไรสูง หรือเสี่ยงต่ำเพื่อกำไรที่แน่นอนกว่า (ขึ้นอยู่กับโครงสร้างราคาของโบรกเกอร์)

• **กลยุทธ์ความแม่นยำสูง (เน้น ITM):** หากคุณมั่นใจว่าราคาจะไม่ทะลุแนวต้าน 1.10000 ใน 5 นาทีข้างหน้า คุณอาจตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ที่ 1.09990 (ต่ำกว่าแนวต้านเล็กน้อย) ซึ่งหมายความว่าคุณกำลังซื้อสัญญาที่ "เกือบจะเป็น ITM" อยู่แล้ว โอกาสชนะสูง แต่ Payout อาจต่ำกว่า
• **กลยุทธ์การคาดการณ์การทะลุ (เน้น OTM):** หากคุณเชื่อว่าราคาจะลงไปถึงแนวรับถัดไปที่ 1.09900 ภายใน 5 นาที คุณอาจตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ที่ 1.09900 (ซึ่งหมายความว่าคุณต้องชนะการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างมาก)

1. ขั้นตอนที่ 5: การตรวจสอบ Position sizing และความเสี่ยง

ก่อนยืนยันการซื้อขาย ให้ตรวจสอบเสมอว่าจำนวนเงินลงทุนของคุณสอดคล้องกับ เทคนิคการบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่ง หรือไม่ ไม่ควรเสี่ยงเงินเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

1. ขั้นตอนที่ 6: การบันทึกข้อมูล

บันทึกราคาใช้สิทธิ์ที่คุณเลือก, ราคาปัจจุบัน, Expiry time, และเหตุผลในการเลือกราคาใช้สิทธิ์นั้นๆ ลงใน Trading journal เพื่อการประเมินผลในอนาคต

ความเสี่ยงและข้อผิดพลาดทั่วไปในการเลือกราคาใช้สิทธิ์

การเข้าใจความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการ Risk management ในไบนารี่ออปชั่น การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ไม่เหมาะสมมักนำไปสู่การขาดทุนซ้ำๆ

1. 1. การตั้งราคาใช้สิทธิ์ที่ไกลเกินไป (Overly Aggressive OTM)

นักเทรดมือใหม่มักพยายามเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ห่างไกลจากราคาปัจจุบันมากที่สุด โดยหวังว่าจะได้กำไรสูง (หากโบรกเกอร์เสนอ Payout ที่สูงขึ้นสำหรับ OTM ที่ยาก)

• **ปัญหา:** การคาดการณ์การเคลื่อนไหวที่รุนแรงและรวดเร็วในกรอบเวลาสั้นๆ นั้นยากมาก โอกาสที่ราคาจะกลับตัวมาอยู่เหนือ/ใต้ราคาใช้สิทธิ์จึงสูงมาก ทำให้เกิด OTM บ่อยครั้ง
• **คำแนะนำ:** ในช่วงเริ่มต้น ให้เน้นการเทรดที่ราคาใช้สิทธิ์ใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน (ITM หรือ ATM) เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับกลไกตลาดก่อน

1. 2. การไม่คำนึงถึงความผันผวน (Volatility Mismatch)

หากคุณใช้กลยุทธ์ที่อิงตามแนวรับ/แนวต้าน แต่เลือก Expiry time สั้นเกินไปในตลาดที่มีความผันผวนสูง (เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจ) ราคาอาจทะลุผ่านระดับที่คุณตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ได้อย่างง่ายดาย

• **ตัวอย่าง:** หากคุณคาดว่าราคาจะอยู่เหนือแนวรับ 1.20000 (Call Option) แต่มีการประกาศข่าวสำคัญที่ทำให้ราคาร่วงลงอย่างรวดเร็ว ราคาใช้สิทธิ์ของคุณจะกลายเป็น OTM ทันที

1. 3. การละเลยการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา

การตัดสินใจเลือกราคาใช้สิทธิ์ควรอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ภาพรวมของ Trend ในกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า (เช่น กราฟ 1 ชั่วโมง) ก่อน แล้วจึงลงมาดูรายละเอียดในกรอบเวลาเทรด (เช่น กราฟ 1 นาที)

• หากภาพรวมเป็นขาขึ้น การเลือก Put Option โดยตั้งราคาใช้สิทธิ์ที่ต่ำกว่าราคาปัจจุบันมาก อาจขัดแย้งกับแนวโน้มหลัก และมีความเสี่ยงสูงกว่าที่ควรจะเป็น

1. 4. การไม่บันทึกผลลัพธ์

หากคุณไม่บันทึกว่าการเทรดที่ใช้ราคาใช้สิทธิ์ห่างจากราคาปัจจุบัน 5 จุด (pips) ให้ผลลัพธ์อย่างไร เทียบกับการเทรดที่ใช้ราคาใช้สิทธิ์ห่าง 1 จุด คุณจะไม่สามารถปรับปรุงกลยุทธ์การเลือกราคาใช้สิทธิ์ของคุณได้เลย

การประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์

การประเมินผลลัพธ์ของการเทรดแต่ละครั้งต้องระบุสถานะสุดท้ายอย่างชัดเจน

1. การตรวจสอบสถานะหลังหมดอายุ

เมื่อการเทรดสิ้นสุดลง ให้ตรวจสอบว่าคุณได้ ITM หรือ OTM และเปรียบเทียบกับสิ่งที่คาดการณ์ไว้

วันที่/เวลา	สินทรัพย์	ประเภท	ราคาใช้สิทธิ์	ราคาปิด	สถานะที่คาดหวัง	สถานะจริง	ผลลัพธ์
01/08 14:05	EUR/USD	Call	1.10000	1.10015	ITM	ITM	ได้กำไร
01/08 14:10	GBP/JPY	Put	155.500	155.501	ITM	OTM	ขาดทุน

จากตารางตัวอย่างข้างต้น การเทรด Put ในวันที่ 01/08 14:10 แม้จะคาดหวัง ITM แต่ราคาปิดกลับสูงกว่าราคาใช้สิทธิ์เพียง 0.001 ซึ่งอาจเกิดจากความผันผวนเล็กน้อยในช่วงวินาทีสุดท้าย หรือการเลือก Expiry time ที่สั้นเกินไปสำหรับความผันผวนของ GBP/JPY ในช่วงเวลานั้น ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณปรับปรุงการเลือกราคาใช้สิทธิ์ในครั้งถัดไป เช่น อาจจะต้องตั้งราคาใช้สิทธิ์ให้ห่างจากแนวต้านเดิมมากขึ้น หรือเลือก Expiry time ที่นานขึ้น

1. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพิ่มเติม

การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ดีต้องอาศัยการยืนยันจากเครื่องมือวิเคราะห์หลายอย่าง หากคุณใช้ Bollinger Bands คุณอาจเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ขอบบน/ล่างของแบนด์ เพื่อคาดการณ์การกลับตัว หรือเลือกราคาที่อยู่ตรงกลางหากคาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวตาม Trend ภายในแบนด์

หากคุณใช้ MACD เพื่อยืนยันโมเมนตัม การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ใกล้เคียงกับระดับที่คาดว่าเส้น MACD จะตัดกัน (Crossover) อาจเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์การกลับตัวของราคาเล็กน้อย

1. ความคาดหวังที่เป็นจริง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่าไบนารี่ออปชั่นเป็นเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูง (ดู ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและข้อแตกต่างจากฟอเร็กซ์) การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่ให้โอกาสชนะ 50/50 (เช่น ราคาใช้สิทธิ์เท่ากับราคาปัจจุบัน) จะให้ Payout ที่ต่ำกว่า 100% เสมอ ดังนั้น การที่จะทำกำไรอย่างสม่ำเสมอได้ คุณจำเป็นต้องมีอัตราความแม่นยำที่สูงกว่า 55-60% ขึ้นอยู่กับ Payout ที่คุณได้รับ

การเลือกราคาใช้สิทธิ์ที่เหมาะสมคือการปรับสมดุลระหว่างความมั่นใจในจุดแข็งของการวิเคราะห์ของคุณ กับความเสี่ยงที่คุณเต็มใจจะรับในการเคลื่อนไหวของราคาในช่วง Expiry time ที่กำหนด

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

• ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและข้อแตกต่างจากฟอเร็กซ์
• องค์ประกอบของแพลตฟอร์มซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
• เทคนิคการบริหารความเสี่ยงและการกำหนดขนาดตำแหน่ง
• ผลกระทบของอารมณ์ต่อการตัดสินใจเทรดไบนารี่ออปชั่น

บทความแนะนำ

• การเลือกโบรกเกอร์สําหรับ Binary Options ต้องพิจารณาปัจจัยใดบ้าง?
• การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมสําหรับการซื้อขาย Options แบบ Binary?
• การเลือกโบรกเกอร์ Options แบบ Binary ที่น่าเชื่อถือสําหรับผู้เริ่มต้นมีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง?
• การเลือกภาษาโปรแกรม
• การเลือกแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่นที่ปลอดภัย

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!