การเทรดแบบ Strangle
- การเทรดแบบ Strangle ในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น
การเทรดแบบ Strangle เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการเทรด ไบนารี่ออปชั่น ที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สูง ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาในตลาด กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักเทรดที่คาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะมีความผันผวนสูง แต่ไม่แน่ใจว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์ Strangle รวมถึงวิธีการทำงาน ความเสี่ยง ข้อดีข้อเสีย และวิธีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Strangle
Strangle คือกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ Call Option และ Put Option พร้อมกัน โดยมีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณเชื่อว่าราคาทองคำจะมีความผันผวน แต่ไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลง คุณอาจซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาปัจจุบัน และ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาปัจจุบัน
- **Call Option:** สิทธิ์ในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ (ราคาใช้สิทธิ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- **Put Option:** สิทธิ์ในการขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ (ราคาใช้สิทธิ) ภายในระยะเวลาที่กำหนด
- **ราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** ราคาที่ผู้ถือ Option สามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงได้
- **ระยะเวลา (Expiry Date):** วันที่ Option หมดอายุ
เป้าหมายของกลยุทธ์ Strangle คือการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากราคาเคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญเหนือราคาใช้สิทธิของ Call Option หรือต่ำกว่าราคาใช้สิทธิของ Put Option คุณจะได้รับกำไร แต่หากราคาอยู่ในช่วงแคบๆ ระหว่างราคาใช้สิทธิทั้งสอง คุณจะขาดทุนจากค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป
- วิธีการทำงานของ Strangle
สมมติว่าราคาทองคำปัจจุบันอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ คุณตัดสินใจใช้กลยุทธ์ Strangle โดย:
1. ซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยค่าพรีเมี่ยม 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ 2. ซื้อ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิ 1,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยค่าพรีเมี่ยม 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ต้นทุนรวมของกลยุทธ์นี้คือ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10 ดอลลาร์สหรัฐฯ + 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
- สถานการณ์ที่ 1: ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ**
- Call Option จะมีมูลค่าในเงิน (In-the-money) และคุณสามารถใช้สิทธิ์ซื้อทองคำในราคา 1,850 ดอลลาร์สหรัฐฯ และขายในตลาดที่ราคา 1,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ได้กำไร 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัญญา (ก่อนหักค่าพรีเมี่ยม)
- Put Option จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า (Out-of-the-money) และคุณจะเสียค่าพรีเมี่ยม 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- กำไรสุทธิ: 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ - 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ - 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ต้นทุนรวม) = 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- สถานการณ์ที่ 2: ราคาทองคำลดลงเป็น 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ**
- Put Option จะมีมูลค่าในเงิน (In-the-money) และคุณสามารถใช้สิทธิ์ขายทองคำในราคา 1,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อในตลาดที่ราคา 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ได้กำไร 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัญญา (ก่อนหักค่าพรีเมี่ยม)
- Call Option จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า (Out-of-the-money) และคุณจะเสียค่าพรีเมี่ยม 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- กำไรสุทธิ: 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ - 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ - 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ต้นทุนรวม) = 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- สถานการณ์ที่ 3: ราคาทองคำอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันหมดอายุ**
- ทั้ง Call Option และ Put Option จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า (Out-of-the-money)
- คุณจะเสียค่าพรีเมี่ยมรวม 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ
- ข้อดีและข้อเสียของ Strangle
| ! ข้อดี | |||
| * **ความเสี่ยงสูง:** หากราคาไม่เคลื่อนที่อย่างมีนัยสำคัญ คุณจะขาดทุนจากค่าพรีเมี่ยมทั้งหมด | | * **ต้องใช้เงินทุนสูง:** ต้องซื้อทั้ง Call Option และ Put Option ทำให้ต้องใช้เงินทุนมากกว่ากลยุทธ์อื่นๆ | | * **การจัดการที่ซับซ้อน:** การเลือกราคาใช้สิทธิและระยะเวลาที่เหมาะสมต้องใช้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญ | | * **ผลตอบแทนไม่แน่นอน:** ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคา และอาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง | |
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเทรด Strangle
- **ความผันผวน (Volatility):** ความผันผวนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเทรด Strangle ยิ่งความผันผวนสูง โอกาสในการทำกำไรก็จะยิ่งสูงขึ้น แต่ความเสี่ยงก็สูงขึ้นด้วย คุณสามารถใช้ตัวชี้วัดความผันผวน เช่น Bollinger Bands หรือ Average True Range (ATR) เพื่อประเมินความผันผวนของตลาด
- **ราคาใช้สิทธิ (Strike Price):** การเลือกราคาใช้สิทธิที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่ใกล้กับราคาปัจจุบันมากเกินไป ความเสี่ยงจะสูงขึ้น แต่ผลตอบแทนก็จะสูงขึ้นด้วย ในทางกลับกัน หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่ห่างจากราคาปัจจุบันมากเกินไป ความเสี่ยงจะต่ำลง แต่ผลตอบแทนก็จะต่ำลงด้วย
- **ระยะเวลา (Expiry Date):** ระยะเวลาของ Option ก็มีผลต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนเช่นกัน ระยะเวลาที่นานกว่าจะทำให้คุณมีเวลามากขึ้นที่ราคาจะเคลื่อนที่ แต่ค่าพรีเมี่ยมก็จะสูงขึ้นด้วย
- **ค่าพรีเมี่ยม (Premium):** ค่าพรีเมี่ยมคือราคาที่คุณจ่ายเพื่อซื้อ Option ค่าพรีเมี่ยมจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความผันผวน ราคาใช้สิทธิ และระยะเวลา
- การจัดการความเสี่ยงในการเทรด Strangle
- **กำหนดขนาด Position:** อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้ กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงที่คุณรับได้
- **ตั้ง Stop-Loss:** ตั้ง Stop-Loss เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์
- **ติดตามตลาด:** ติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ของคุณตามความจำเป็น
- **กระจายความเสี่ยง:** อย่าลงทุนในสินทรัพย์เดียว กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- **Straddle:** คล้ายกับ Strangle แต่ใช้ราคาใช้สิทธิเดียวกันสำหรับ Call Option และ Put Option Straddle
- **Butterfly Spread:** กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากความคาดหวังว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ Butterfly Spread
- **Iron Condor:** กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากความคาดหวังว่าราคาจะอยู่ในช่วงแคบๆ และมีความผันผวนต่ำ Iron Condor
- **Covered Call:** กลยุทธ์ที่ใช้ในการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่คุณถืออยู่ Covered Call
- **Protective Put:** กลยุทธ์ที่ใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาหุ้น Protective Put
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
การใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค และ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย สามารถช่วยในการประเมินความผันผวนของตลาดและเลือกราคาใช้สิทธิและระยะเวลาที่เหมาะสมได้ ตัวอย่างเช่น:
- **Moving Averages:** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคา Moving Averages
- **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม Relative Strength Index (RSI)
- **MACD:** ใช้เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย MACD
- **Volume Analysis:** ใช้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้ม Volume Analysis
- **Fibonacci Retracements:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้าน Fibonacci Retracements
- สรุป
การเทรดแบบ Strangle เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนที่ต้องใช้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม หากคุณเข้าใจวิธีการทำงานของกลยุทธ์นี้และจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม คุณสามารถใช้ Strangle เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงในตลาดได้ อย่าลืมว่าการเทรดไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยง และคุณควรลงทุนเฉพาะเงินที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้เท่านั้น
การบริหารเงินทุน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรดไบนารี่ออปชั่น เพื่อให้คุณสามารถรักษาเงินทุนของคุณและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การเรียนรู้ จิตวิทยาการเทรด ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพื่อช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
การเลือกโบรกเกอร์ ที่เชื่อถือได้และมีสภาพคล่องสูงก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ที่คุณเลือกได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ และมีเครื่องมือและทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการเทรด
การเรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ และการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการเทรดของคุณและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
การฝึกฝนด้วยบัญชี Demo เป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้และทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
การติดตามข่าวสาร และเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน สามารถช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาของสินทรัพย์อ้างอิง
การใช้เครื่องมือคำนวณ เช่น เครื่องคำนวณกำไรและขาดทุน จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำความเข้าใจภาษี ที่เกี่ยวข้องกับการเทรดไบนารี่ออปชั่น ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
การเข้าร่วมชุมชนเทรด จะช่วยให้คุณเรียนรู้จากนักเทรดคนอื่นๆ และแบ่งปันประสบการณ์ของคุณ
การอ่านหนังสือและบทความ เกี่ยวกับการเทรด จะช่วยให้คุณเพิ่มพูนความรู้และทักษะของคุณ
การใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การทำบันทึกการเทรด จะช่วยให้คุณติดตามผลการดำเนินงานของคุณและระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ
การปรับปรุงกลยุทธ์ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น

