การหาแนวรับแนวต้าน

1. 1. การหาแนวรับแนวต้าน

แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นแนวคิดพื้นฐานและสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น หรือตลาดการเงินอื่นๆ การเข้าใจแนวรับแนวต้านจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้จะอธิบายแนวรับแนวต้านอย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น พร้อมทั้งยกตัวอย่างและกลยุทธ์การใช้งาน

1. 1. 1. แนวรับและแนวต้านคืออะไร?

• • แนวรับ** คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อจำนวนมากเข้ามา ทำให้ราคาไม่น่าจะลดลงต่ำกว่าระดับนั้นได้ ในทางกลับกัน **แนวต้าน** คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายจำนวนมากเข้ามา ทำให้ราคาไม่น่าจะสูงขึ้นเกินระดับนั้นได้ แนวรับและแนวต้านเกิดจากการรวมตัวของแรงซื้อและแรงขายในอดีต ซึ่งเป็นผลมาจากจิตวิทยาของตลาดและความต้องการที่จะทำกำไร

1. 1. 1. ทำไมแนวรับแนวต้านจึงสำคัญ?

• **ระบุจุดเข้าและออก:** เทรดเดอร์สามารถใช้แนวรับเพื่อหาจุดเข้าซื้อ (Buy) และแนวต้านเพื่อหาจุดเข้าขาย (Sell)
• **กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** แนวรับและแนวต้านสามารถใช้เป็นจุดวาง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการซื้อขาย
• **ประเมินโอกาสในการทำกำไร:** การระบุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินความน่าจะเป็นในการทำกำไรได้
• **ยืนยันแนวโน้ม (Trend):** การที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสามารถยืนยันแนวโน้มของราคาได้

1. 1. 1. วิธีการหาระดับแนวรับและแนวต้าน

มีหลายวิธีในการหาระดับแนวรับและแนวต้าน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

1. **จุดสูงสุดและจุดต่ำสุด (Swing Highs and Swing Lows):** วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยการมองหาจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ในกราฟราคา จุดสูงสุดก่อนหน้าสามารถเป็นแนวต้านได้ ส่วนจุดต่ำสุดก่อนหน้าสามารถเป็นแนวรับได้ 2. **เส้นแนวโน้ม (Trend Lines):** การลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุด (สำหรับแนวโน้มขาขึ้น) หรือจุดสูงสุด (สำหรับแนวโน้มขาลง) จะได้เส้นแนวโน้ม ซึ่งสามารถเป็นแนวรับหรือแนวต้านได้ เส้นแนวโน้มที่แข็งแกร่งมักจะมีการแตะหลายครั้งก่อนที่จะถูกทะลุ 3. **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน) สามารถใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบไดนามิกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4. **ระดับ Fibonacci Retracement:** ระดับ Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงจากลำดับ Fibonacci ซึ่งเป็นลำดับทางคณิตศาสตร์ที่พบได้บ่อยในธรรมชาติ 5. **Pivot Points:** Pivot Points เป็นระดับราคาที่คำนวณจากราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และราคาปิดของวันก่อนหน้า ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านในวันถัดไป 6. **ปริมาณการซื้อขาย (Volume):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับแนวรับและแนวต้านจะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของระดับเหล่านั้นได้ หากมีปริมาณการซื้อขายสูงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน แสดงว่าระดับนั้นมีความสำคัญ

1. 1. 1. ประเภทของแนวรับและแนวต้าน

• **แนวรับ/แนวต้านที่แข็งแกร่ง (Strong Support/Resistance):** เกิดจากการรวมตัวของปัจจัยหลายอย่าง เช่น จุดสูงสุด/ต่ำสุดที่สำคัญ, เส้นแนวโน้ม, ระดับ Fibonacci, และปริมาณการซื้อขายที่สูง
• **แนวรับ/แนวต้านที่อ่อนแอ (Weak Support/Resistance):** เกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียว หรือมีปริมาณการซื้อขายที่น้อย
• **แนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support/Resistance):** เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
• **แนวรับ/แนวต้านแบบคงที่ (Static Support/Resistance):** คงที่ตามระดับราคา เช่น จุดสูงสุด/ต่ำสุดในอดีต

1. 1. 1. กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้แนวรับแนวต้าน

1. **การซื้อเมื่อราคาแตะแนวรับ (Buy the Dip):** รอให้ราคาปรับตัวลงมาที่แนวรับ แล้วเข้าซื้อโดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นไป 2. **การขายเมื่อราคาแตะแนวต้าน (Sell the Rally):** รอให้ราคาปรับตัวขึ้นมาที่แนวต้าน แล้วเข้าขายโดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวลงมา 3. **การทะลุแนวรับ/แนวต้าน (Breakout Trading):** เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านอย่างมีนัยสำคัญ (พร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง) ให้เข้าซื้อ (หากทะลุแนวรับ) หรือเข้าขาย (หากทะลุแนวต้าน) 4. **การเล่น Reversal Pattern:** มองหารูปแบบ Reversal เช่น Double Top, Double Bottom, Head and Shoulders บริเวณแนวรับและแนวต้านเพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัวของราคา 5. **การใช้แนวรับ/แนวต้านร่วมกับ Indicator อื่นๆ:** เช่น RSI, MACD, Bollinger Bands เพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย

1. 1. 1. ตัวอย่างการใช้งานแนวรับแนวต้าน

สมมติว่ากราฟราคาของคู่เงิน EUR/USD แสดงให้เห็นว่ามีแนวรับอยู่ที่ 1.0800 และแนวต้านอยู่ที่ 1.0900

• **สถานการณ์ที่ 1:** ถ้าราคาปรับตัวลงมาที่ 1.0800 และมีสัญญาณการกลับตัว (เช่น แท่งเทียนเป็นแบบ Hammer หรือ Engulfing) เทรดเดอร์อาจเข้าซื้อโดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นไป
• **สถานการณ์ที่ 2:** ถ้าราคาปรับตัวขึ้นมาที่ 1.0900 และมีสัญญาณการกลับตัว (เช่น แท่งเทียนเป็นแบบ Shooting Star หรือ Bearish Engulfing) เทรดเดอร์อาจเข้าขายโดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวลงมา
• **สถานการณ์ที่ 3:** ถ้าราคาทะลุ 1.0900 ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ (พร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูง) เทรดเดอร์อาจเข้าซื้อโดยคาดหวังว่าราคาจะไปต่อ

1. 1. 1. ข้อควรระวังในการใช้แนวรับแนวต้าน

• **แนวรับและแนวต้านไม่ใช่ระดับที่แน่นอน:** ราคาอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้านได้เสมอ
• **แนวรับและแนวต้านสามารถเปลี่ยนบทบาทได้:** แนวรับสามารถกลายเป็นแนวต้านได้ และแนวต้านสามารถกลายเป็นแนวรับได้
• **ควรใช้แนวรับและแนวต้านร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ:** เพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขายและลดความเสี่ยง
• **บริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม:** โดยการตั้ง Stop Loss และ Take Profit

1. 1. 1. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) ร่วมกับแนวรับแนวต้าน

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเป็นส่วนสำคัญในการยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับและแนวต้าน:

• **ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ:** บ่งบอกว่ามีแรงซื้อจำนวนมากเข้ามา ทำให้แนวรับมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่ง
• **ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน:** บ่งบอกว่ามีแรงขายจำนวนมากเข้ามา ทำให้แนวต้านมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่ง
• **ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ/แนวต้าน:** อาจบ่งบอกว่าแนวรับ/แนวต้านนั้นอ่อนแอและอาจถูกทะลุได้ง่าย

1. 1. 1. สรุป

การหาแนวรับแนวต้านเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ ไบนารี่ออปชั่น และตลาดการเงินอื่นๆ การเข้าใจแนวรับแนวต้านจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดเข้าและออกจากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าแนวรับและแนวต้านไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ และควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขายและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม การฝึกฝนและประสบการณ์จะช่วยให้คุณสามารถใช้แนวรับแนวต้านได้อย่างเชี่ยวชาญมากขึ้น

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง

กลยุทธ์การซื้อขาย Breakout	กลยุทธ์การซื้อขาย Pullback	กลยุทธ์การซื้อขาย Reversal
กลยุทธ์การใช้ Fibonacci Retracement	กลยุทธ์การใช้ Pivot Points	กลยุทธ์การใช้ Trend Lines
กลยุทธ์การใช้ Moving Averages	กลยุทธ์การใช้ RSI และแนวรับแนวต้าน	กลยุทธ์การใช้ MACD และแนวรับแนวต้าน

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติม

การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candlestick Patterns)	การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Patterns)	การวิเคราะห์ Wave Theory
การวิเคราะห์ Gap	การวิเคราะห์ Momentum	การวิเคราะห์ Volatility

การบริหารความเสี่ยงในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น จิตวิทยาการเทรด การเลือกโบรกเกอร์ไบนารี่ออปชั่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์ข่าวสาร การกำหนดขนาด Position การบันทึกการเทรด (Trading Journal) การ Backtesting กลยุทธ์ การ Demo Account การจัดการเงินทุน (Money Management) การทำความเข้าใจความเสี่ยง การอ่านกราฟราคา การวิเคราะห์ Time Frame ต่างๆ การใช้เครื่องมือ Drawing Tools การใช้ Economic Calendar

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น