กลยุทธ์ Pairs Trading

กลยุทธ์ Pairs Trading

Pairs Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่อาศัยความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสินทรัพย์สองรายการ โดยมีเป้าหมายที่จะทำกำไรจากความแตกต่างของราคาที่เกิดจากการเบี่ยงเบนชั่วคราวจากความสัมพันธ์ในอดีต กลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนและ เทรดเดอร์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูง ในบทความนี้ เราจะสำรวจกลยุทธ์ Pairs Trading อย่างละเอียด ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ขั้นตอนการดำเนินการ การเลือกสินทรัพย์ การจัดการความเสี่ยง ไปจนถึงข้อดีและข้อเสีย

แนวคิดพื้นฐานของ Pairs Trading

Pairs Trading หรือที่เรียกว่า Statistical Arbitrage มีรากฐานมาจากแนวคิดที่ว่าสินทรัพย์สองรายการที่มีความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรม มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันในระยะยาว หากความสัมพันธ์นี้ถูกรบกวนชั่วคราว (เช่น ราคาของสินทรัพย์หนึ่งสูงเกินไปเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง) จะมีโอกาสที่ราคาจะกลับสู่สภาวะสมดุลเดิม กลยุทธ์นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การระบุสินทรัพย์ที่ "ผิดราคา" และทำการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากความคลาดเคลื่อนนี้

ตัวอย่างเช่น พิจารณาสองบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น Coca-Cola (KO) และ PepsiCo (PEP) โดยปกติแล้ว ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง อาจมีเหตุการณ์เฉพาะที่ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทหนึ่งสูงขึ้นหรือต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่ง หากราคาหุ้นของ KO สูงกว่า PEP มากกว่าปกติ (เมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีต) เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Pairs Trading อาจจะขาย KO และซื้อ PEP โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับสู่สภาวะสมดุลเดิม

ขั้นตอนการดำเนินการ Pairs Trading

การดำเนินการ Pairs Trading สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

1. **การค้นหาคู่สินทรัพย์:** ขั้นตอนแรกคือการระบุสินทรัพย์สองรายการที่มีความสัมพันธ์กันทางสถิติ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้การวิเคราะห์ทางสถิติ เช่น สหสัมพันธ์ (Correlation) และ การทดสอบความเสถียร (Cointegration test) 2. **การสร้างแบบจำลอง:** สร้างแบบจำลองทางสถิติเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสอง และระบุช่วงราคาที่ถือว่า "ปกติ" 3. **การตรวจสอบสัญญาณ:** ตรวจสอบราคาปัจจุบันของสินทรัพย์ทั้งสอง และเปรียบเทียบกับแบบจำลอง หากราคาเบี่ยงเบนออกจากช่วงปกติ จะถือว่าเป็นสัญญาณการซื้อขาย 4. **การเปิดสถานะ:** หากสินทรัพย์หนึ่งแพงเกินไป (เมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง) ให้ขายสินทรัพย์ที่แพง และซื้อสินทรัพย์ที่ถูกกว่า 5. **การจัดการความเสี่ยง:** กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) และจุดทำกำไร (Take-Profit) เพื่อจำกัดความเสี่ยงและรักษาผลกำไร 6. **การปิดสถานะ:** เมื่อราคาของสินทรัพย์ทั้งสองกลับสู่สภาวะสมดุลเดิม หรือถึงจุดทำกำไรหรือจุดตัดขาดทุน ให้ปิดสถานะ

การเลือกสินทรัพย์สำหรับ Pairs Trading

การเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของกลยุทธ์ Pairs Trading พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

**ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ:** เลือกสินทรัพย์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน
**สหสัมพันธ์:** ตรวจสอบค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสอง ค่าสหสัมพันธ์ที่สูง (ใกล้ +1 หรือ -1) แสดงว่าสินทรัพย์ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก
**การทดสอบความเสถียร:** ใช้การทดสอบความเสถียรเพื่อตรวจสอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองมีความเสถียรในระยะยาวหรือไม่
**สภาพคล่อง:** เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
**ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย:** พิจารณาค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์แต่ละรายการ

ตัวอย่างสินทรัพย์ที่นิยมใช้ใน Pairs Trading ได้แก่:

หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน (เช่น ธนาคาร, เทคโนโลยี, พลังงาน)
หุ้นของบริษัทคู่แข่ง (เช่น Coca-Cola และ PepsiCo)
สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่น น้ำมันดิบและเบนซิน)
สกุลเงินที่เชื่อมโยงกัน (เช่น EUR/USD และ GBP/USD)
ดัชนีหุ้น และหุ้นรายตัว

การจัดการความเสี่ยงใน Pairs Trading

แม้ว่า Pairs Trading จะมีความเสี่ยงต่ำกว่ากลยุทธ์อื่นๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างเหมาะสม:

**ความเสี่ยงจากการเบี่ยงเบนถาวร:** หากความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร กลยุทธ์อาจไม่สามารถทำกำไรได้
**ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน:** เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทหนึ่ง อาจทำให้ราคาของสินทรัพย์ทั้งสองเบี่ยงเบนออกจากสภาวะสมดุล
**ความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการสร้างแบบจำลอง:** แบบจำลองทางสถิติอาจไม่สามารถจับภาพความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองได้อย่างแม่นยำ

เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ ควร:

**กำหนดจุดตัดขาดทุน:** กำหนดจุดตัดขาดทุนที่เหมาะสม เพื่อจำกัดผลขาดทุนหากกลยุทธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
**กระจายความเสี่ยง:** อย่าลงทุนในคู่สินทรัพย์เพียงคู่เดียว ควรเลือกหลายคู่เพื่อกระจายความเสี่ยง
**ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด:** ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ทั้งสอง
**ปรับปรุงแบบจำลองอย่างสม่ำเสมอ:** ปรับปรุงแบบจำลองทางสถิติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

การประยุกต์ใช้ Pairs Trading ในไบนารี่ออปชั่น

แม้ว่า Pairs Trading จะเป็นกลยุทธ์ที่มักใช้ในตลาดหุ้นและตลาดฟอเร็กซ์ แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในตลาด ไบนารี่ออปชั่น ได้เช่นกัน โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการซื้อขายให้เหมาะสมกับลักษณะของไบนารี่ออปชั่น

ในการใช้ Pairs Trading ในไบนารี่ออปชั่น เราจะมองหาคู่สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กัน และคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์ทั้งสองจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน หากเราคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์หนึ่งจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง เราสามารถซื้อไบนารี่ออปชั่น "Call" บนสินทรัพย์ที่คาดว่าจะสูงขึ้น และซื้อไบนารี่ออปชั่น "Put" บนสินทรัพย์ที่คาดว่าจะต่ำลง

อย่างไรก็ตาม การใช้ Pairs Trading ในไบนารี่ออปชั่นมีความท้าทายบางประการ:

**ระยะเวลาหมดอายุ:** ไบนารี่ออปชั่นมีระยะเวลาหมดอายุที่จำกัด ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับให้ราคาของสินทรัพย์ทั้งสองกลับสู่สภาวะสมดุล
**การจ่ายผลตอบแทน:** การจ่ายผลตอบแทนของไบนารี่ออปชั่นมักจะต่ำกว่าการซื้อขายในตลาดปกติ
**ความเสี่ยงสูง:** ไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นการเดิมพันว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่

ดังนั้น การใช้ Pairs Trading ในไบนารี่ออปชั่นจึงต้องใช้ความระมัดระวังและมีความเข้าใจในตลาดไบนารี่ออปชั่นอย่างดี

กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง

Mean Reversion: กลยุทธ์ที่อาศัยแนวโน้มที่ราคาจะกลับสู่ค่าเฉลี่ย
Arbitrage: การแสวงหาผลกำไรจากความแตกต่างของราคาในตลาดที่แตกต่างกัน
Trend Following: การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา
Breakout Trading: การซื้อขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้าน
Scalping: การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรเล็กน้อยจำนวนมาก
Day Trading: การซื้อขายภายในวันเดียว
Swing Trading: การซื้อขายโดยถือครองสถานะเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
Momentum Trading: การซื้อขายตามความเร็วในการเคลื่อนที่ของราคา
Statistical Arbitrage: การใช้แบบจำลองทางสถิติเพื่อแสวงหาผลกำไร
Delta Neutral Trading: การสร้างสถานะที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา
Pairs Trading with Options: การใช้ Options ในการทำ Pairs Trading
Correlation Trading: การซื้อขายตามความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ต่างๆ
Volatility Trading: การซื้อขายตามความผันผวนของราคา
Gap Trading: การซื้อขายตามช่องว่างของราคา

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย

Moving Averages: การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม
Relative Strength Index (RSI): การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
MACD: การวัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น
Bollinger Bands: การวัดความผันผวนของราคา
Volume Analysis: การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้ม

ตัวอย่างการเลือกคู่สินทรัพย์สำหรับ Pairs Trading
สินทรัพย์ 1	สินทรัพย์ 2	เหตุผล
Coca-Cola (KO)	PepsiCo (PEP)	คู่แข่งในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม
Apple (AAPL)	Microsoft (MSFT)	บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ExxonMobil (XOM)	Chevron (CVX)	บริษัทพลังงาน
EUR/USD	GBP/USD	สกุลเงินหลัก
ทองคำ (XAU/USD)	เงิน (XAG/USD)	สินค้าโภคภัณฑ์

สรุป

กลยุทธ์ Pairs Trading เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนแต่มีศักยภาพในการทำกำไร โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสินทรัพย์สองรายการ การดำเนินการกลยุทธ์นี้ต้องใช้ความเข้าใจในสถิติ การวิเคราะห์ตลาด และการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การประยุกต์ใช้ในตลาดไบนารี่ออปชั่นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากลักษณะของตลาดที่มีความเสี่ยงสูงและระยะเวลาหมดอายุที่จำกัด

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น