Pairs Trading
- Pairs Trading
Pairs Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่อาศัยความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสินทรัพย์สองรายการ โดยมีเป้าหมายที่จะใช้ประโยชน์จากความแตกต่างชั่วคราวในราคาของสินทรัพย์เหล่านั้น กลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ค้า นักลงทุน ทั้งรายย่อยและสถาบัน เนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ในตลาดที่หลากหลาย และลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน
- หลักการพื้นฐานของ Pairs Trading
แนวคิดหลักของ Pairs Trading คือการระบุคู่สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดทางสถิติ ซึ่งหมายความว่าราคาของสินทรัพย์ทั้งสองมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าอาจจะไม่เท่ากันเสมอไป ความสัมพันธ์นี้อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น:
- **อุตสาหกรรมเดียวกัน:** บริษัทสองแห่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมักจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเดียวกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนวัตถุดิบ หรือความต้องการของตลาด
- **ความสัมพันธ์เชิงซัพพลายเชน:** บริษัทที่อยู่ในซัพพลายเชนเดียวกัน อาจมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย
- **ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมหภาค:** สินทรัพย์บางประเภทอาจมีความสัมพันธ์กันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคเดียวกัน เช่น อัตราดอกเบี้ย หรืออัตราเงินเฟ้อ
- **การแปลงทดแทน:** สินทรัพย์ที่สามารถใช้แทนกันได้ (Substitute goods) เช่น น้ำมันดิบ Brent และน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI)
เมื่อราคาของสินทรัพย์ทั้งสองเบี่ยงเบนไปจากความสัมพันธ์ทางสถิติปกติ กลยุทธ์ Pairs Trading จะใช้ประโยชน์จากความแตกต่างนี้ โดยการ:
- **ซื้อ (Long) สินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย:** หากสินทรัพย์หนึ่งมีราคาต่ำกว่าความสัมพันธ์ทางสถิติปกติ จะถือว่าเป็น undervalued และควรซื้อ
- **ขาย (Short) สินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย:** หากสินทรัพย์อีกตัวมีราคาสูงกว่าความสัมพันธ์ทางสถิติปกติ จะถือว่าเป็น overvalued และควรขาย
ผู้ค้าคาดหวังว่าราคาของสินทรัพย์ทั้งสองจะกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ทางสถิติปกติในที่สุด ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้จากการปิดสถานะ (Closing positions)
- ขั้นตอนการดำเนินงานของ Pairs Trading
1. **การเลือกคู่สินทรัพย์:** ขั้นตอนแรกคือการระบุคู่สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด มีหลายวิธีในการทำเช่นนี้ เช่น:
* **การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Correlation Analysis):** คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ระหว่างราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ที่สูง (ใกล้ 1 หรือ -1) บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง * **Cointegration Analysis:** ตรวจสอบว่าราคาของสินทรัพย์ทั้งสองมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวไปพร้อมกันในระยะยาวหรือไม่ แม้ว่าอาจจะมีการเบี่ยงเบนในระยะสั้น * **การวิเคราะห์พื้นฐาน:** พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ทั้งสอง เช่น อุตสาหกรรม ธุรกิจ และแนวโน้มการเติบโต * **การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** ตรวจสอบปริมาณการซื้อขายของสินทรัพย์ทั้งสอง เพื่อให้แน่ใจว่ามีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการซื้อขาย
2. **การกำหนดจุดเข้าและออก:** เมื่อเลือกคู่สินทรัพย์ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกำหนดจุดเข้าและออกสำหรับการซื้อขาย ซึ่งอาจใช้:
* **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุแนวโน้มและจุดกลับตัวของราคา * **Bollinger Bands:** ใช้ Bollinger Bands เพื่อวัดความผันผวนและระบุระดับราคาที่ซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป * **Z-Score:** คำนวณ Z-Score เพื่อวัดว่าราคาของสินทรัพย์เบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด * **Spread:** คำนวณ Spread (ความแตกต่างของราคา) ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสอง และใช้ระดับ Spread ที่กำหนดไว้เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย
3. **การบริหารความเสี่ยง:** การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย Pairs Trading เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์ทางสถิติจะไม่กลับมาเป็นปกติ การบริหารความเสี่ยงอาจรวมถึง:
* **Stop-Loss Orders:** ตั้งคำสั่ง Stop-Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนหากราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด * **Position Sizing:** กำหนดขนาดของสถานะ (Position Size) อย่างเหมาะสม เพื่อให้แน่ใจว่าการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนมากเกินไป * **Diversification:** กระจายความเสี่ยงโดยการซื้อขายหลายคู่สินทรัพย์
- ตัวอย่างของ Pairs Trading
สมมติว่าคุณสังเกตเห็นความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างหุ้นของบริษัท Coca-Cola (KO) และ PepsiCo (PEP) ทั้งสองบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและมีการแข่งขันกันอย่างใกล้ชิด คุณทำการวิเคราะห์และพบว่าค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างราคาของ KO และ PEP คือ 0.85
ขณะนี้ ราคาหุ้น KO คือ 60 ดอลลาร์ และราคาหุ้น PEP คือ 170 ดอลลาร์ จากการวิเคราะห์ Spread ในอดีต พบว่า Spread ปกติระหว่างราคาของทั้งสองหุ้นคือ 110 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Spread อยู่ที่ 115 ดอลลาร์ ซึ่งบ่งชี้ว่าหุ้น KO อาจ undervalued และหุ้น PEP อาจ overvalued
คุณตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์ Pairs Trading โดย:
- **ซื้อ (Long) หุ้น KO:** ซื้อหุ้น KO ในราคา 60 ดอลลาร์
- **ขาย (Short) หุ้น PEP:** ขายหุ้น PEP ในราคา 170 ดอลลาร์
คุณคาดหวังว่า Spread จะกลับสู่ระดับปกติที่ 110 ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถทำกำไรได้จากการปิดสถานะของคุณ
- ข้อดีและข้อเสียของ Pairs Trading
- ข้อดี:**
- **ลดความเสี่ยง:** กลยุทธ์ Pairs Trading สามารถลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้ เนื่องจากคุณกำลังซื้อขายสินทรัพย์สองรายการที่สัมพันธ์กัน
- **สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ:** สามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ในตลาดที่หลากหลาย
- **ไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางตลาด:** ไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางตลาดโดยรวม เพียงแค่คาดการณ์ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์จะกลับสู่ปกติ
- **โอกาสในการทำกำไรในตลาด Sideways:** สามารถทำกำไรได้แม้ในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน (Sideways market)
- ข้อเสีย:**
- **ความซับซ้อน:** กลยุทธ์ Pairs Trading ค่อนข้างซับซ้อนและต้องใช้ความรู้และความเข้าใจอย่างมากเกี่ยวกับสถิติและการเงิน
- **ค่าใช้จ่ายในการซื้อขาย:** การซื้อขายสินทรัพย์สองรายการอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายที่สูงกว่าการซื้อขายสินทรัพย์เพียงรายการเดียว
- **ความเสี่ยงจากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง:** ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งอาจทำให้กลยุทธ์นี้ไม่ได้ผล
- **ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน:** เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อาจทำให้ราคาของสินทรัพย์เบี่ยงเบนไปจากความสัมพันธ์ทางสถิติปกติ
- กลยุทธ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- **Statistical Arbitrage:** เป็นกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับ Pairs Trading แต่ใช้แบบจำลองทางสถิติที่ซับซ้อนมากขึ้น
- **Mean Reversion Trading:** กลยุทธ์ที่อาศัยแนวคิดที่ว่าราคาจะกลับสู่ค่าเฉลี่ยในที่สุด
- **Momentum Trading:** กลยุทธ์ที่อาศัยแนวคิดที่ว่าสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางเดิมต่อไป
- **Swing Trading:** กลยุทธ์ที่อาศัยการจับการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้น
- **Day Trading:** กลยุทธ์ที่อาศัยการซื้อขายภายในวันเดียว
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปริมาณการซื้อขายที่เกี่ยวข้อง
- **Moving Average Convergence Divergence (MACD):** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดระดับการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
- **Fibonacci Retracements:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้
- **Volume Weighted Average Price (VWAP):** ใช้เพื่อวัดราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขาย
- **On Balance Volume (OBV):** ใช้เพื่อวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขาย
- การประยุกต์ใช้กับไบนารี่ออปชั่น
แม้ว่า Pairs Trading โดยทั่วไปจะใช้กับตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์ แต่แนวคิดนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ ไบนารี่ออปชั่น ได้ โดยการสร้างสัญญาไบนารี่ออปชั่นที่อิงกับ Spread ระหว่างสินทรัพย์สองรายการ ตัวอย่างเช่น หาก Spread ระหว่าง KO และ PEP อยู่ที่ 115 ดอลลาร์ คุณสามารถซื้อ (Call) สัญญาไบนารี่ออปชั่นที่คาดการณ์ว่า Spread จะลดลง (เช่น ลดลงเหลือ 110 ดอลลาร์) ภายในระยะเวลาที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม การใช้ Pairs Trading กับ ไบนารี่ออปชั่น มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจาก ไบนารี่ออปชั่น มีลักษณะเป็น all-or-nothing ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง หรือจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหากการคาดการณ์ของคุณผิดพลาด
- สรุป
Pairs Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ซับซ้อนแต่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างมากเกี่ยวกับสถิติ การเงิน และการบริหารความเสี่ยง ก่อนที่จะเริ่มใช้กลยุทธ์นี้
| สินทรัพย์ 1 | สินทรัพย์ 2 | เหตุผล |
|---|---|---|
| Coca-Cola (KO) | PepsiCo (PEP) | อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม, การแข่งขันสูง |
| Microsoft (MSFT) | Apple (AAPL) | อุตสาหกรรมเทคโนโลยี, ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ |
| ExxonMobil (XOM) | Chevron (CVX) | อุตสาหกรรมพลังงาน, บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ |
| Gold | Silver | สินค้าโภคภัณฑ์, โลหะมีค่า |
| EUR/USD | GBP/USD | สกุลเงิน, สกุลเงินหลัก |
การลงทุน ตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน การบริหารความเสี่ยง การซื้อขาย กลยุทธ์การซื้อขาย สถิติ การเงิน การลงทุนระยะยาว การลงทุนระยะสั้น การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ Cointegration Spread Trading Arbitrage Binary Options Trading Psychology Risk Management Portfolio Diversification Market Analysis Technical Indicators Volume Trading
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
