กลยุทธ์ Bounce

1. กลยุทธ์ Bounce ในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น

กลยุทธ์ Bounce เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ยอดนิยมและค่อนข้างง่ายต่อการเรียนรู้สำหรับผู้ที่เริ่มต้นในการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากแนวคิดที่ว่าราคาจะ ‘เด้ง’ กลับจากแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) บทความนี้จะอธิบายกลยุทธ์ Bounce อย่างละเอียด รวมถึงวิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน การตั้งค่าการซื้อขาย และการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการซื้อขายจริงได้อย่างมั่นใจ

1. 1. 1. ทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของกลยุทธ์ Bounce

กลยุทธ์ Bounce อาศัยหลักการที่ว่าตลาดมักจะเคลื่อนไหวในลักษณะเป็นช่วงๆ (Range-bound) หมายความว่าราคาจะเคลื่อนที่ขึ้นและลงภายในกรอบที่กำหนด เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ ผู้ซื้อมักจะเข้ามาซื้อเพื่อ ‘เด้ง’ ราคากลับขึ้น และเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน ผู้ขายมักจะเข้ามาขายเพื่อ ‘กด’ ราคากลับลง กลยุทธ์นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การคาดการณ์การเด้งตัวของราคาจากแนวรับและแนวต้าน

การซื้อขายด้วยกลยุทธ์ Bounce มีสองรูปแบบหลัก:

**Call Option (ซื้อ):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเด้งขึ้นจากแนวรับ
**Put Option (ขาย):** ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะเด้งลงจากแนวต้าน

1. 1. 2. การระบุแนวรับและแนวต้าน

การระบุแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ Bounce มีหลายวิธีในการทำเช่นนั้น:

**Swing Highs และ Swing Lows:** มองหาจุดสูงสุด (Swing Highs) และจุดต่ำสุด (Swing Lows) บนกราฟราคา แนวรับมักจะอยู่ใต้ Swing Lows และแนวต้านมักจะอยู่เหนือ Swing Highs
**เส้นแนวโน้ม (Trendlines):** ลากเส้นเชื่อมต่อจุดต่ำสุดที่ต่อเนื่องกันเพื่อสร้างแนวรับ และลากเส้นเชื่อมต่อจุดสูงสุดที่ต่อเนื่องกันเพื่อสร้างแนวต้าน
**ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน
**ระดับ Fibonacci Retracement:** ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงตามสัดส่วน Fibonacci
**จุด Pivot:** จุด Pivot เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญโดยอิงตามราคาของวันก่อนหน้า

การรวมวิธีการหลายอย่างเข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุแนวรับและแนวต้าน ตัวอย่างเช่น การยืนยันแนวรับด้วยทั้ง Swing Lows และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จะทำให้มั่นใจได้มากขึ้นว่าแนวรับนั้นแข็งแกร่ง

1. 1. 3. การตั้งค่าการซื้อขายด้วยกลยุทธ์ Bounce

เมื่อคุณระบุแนวรับและแนวต้านได้แล้ว คุณสามารถตั้งค่าการซื้อขายได้ดังนี้:

**Call Option (ซื้อ):**

   *   **เงื่อนไข:** ราคาเข้าใกล้แนวรับ
   *   **เวลาหมดอายุ:** เลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสม โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 5-15 นาที ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณกำลังวิเคราะห์
   *   **การเข้าซื้อ:** เข้าซื้อ Call Option เมื่อราคาแตะหรือเข้าใกล้แนวรับ
   *   **จุด Stop Loss:** ตั้งจุด Stop Loss ใต้แนวรับเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เด้งขึ้น

**Put Option (ขาย):**

   *   **เงื่อนไข:** ราคาเข้าใกล้แนวต้าน
   *   **เวลาหมดอายุ:** เลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสม โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 5-15 นาที ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณกำลังวิเคราะห์
   *   **การเข้าขาย:** เข้าขาย Put Option เมื่อราคาแตะหรือเข้าใกล้แนวต้าน
   *   **จุด Stop Loss:** ตั้งจุด Stop Loss เหนือแนวต้านเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เด้งลง

1. 1. 4. การจัดการความเสี่ยง

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นด้วยกลยุทธ์ Bounce:

**ขนาดการลงทุน:** อย่าลงทุนเกิน 2-5% ของเงินทุนทั้งหมดของคุณในการซื้อขายแต่ละครั้ง
**Stop Loss:** ใช้ Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์
**การกระจายความเสี่ยง:** อย่าพึ่งพาการซื้อขายเพียงครั้งเดียว กระจายความเสี่ยงโดยการซื้อขายในสินทรัพย์ที่หลากหลาย
**การควบคุมอารมณ์:** อย่าปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อขาย ทำตามแผนการซื้อขายของคุณอย่างเคร่งครัด
**บันทึกการซื้อขาย:** บันทึกการซื้อขายทั้งหมดของคุณ เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณ

1. 1. 5. ตัวอย่างการซื้อขายด้วยกลยุทธ์ Bounce

สมมติว่าคุณกำลังวิเคราะห์กราฟราคาของ EUR/USD ในกรอบเวลา 5 นาที คุณสังเกตเห็นว่าราคาได้เด้งกลับจากแนวรับที่ 1.1050 หลายครั้งก่อนหน้านี้ คุณคาดการณ์ว่าราคาจะเด้งขึ้นอีกครั้งจากแนวรับนี้

**การซื้อขาย:** เข้าซื้อ Call Option เมื่อราคาเข้าใกล้ 1.1050
**เวลาหมดอายุ:** 10 นาที
**จุด Stop Loss:** 1.1040 (ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย)

หากราคาเด้งขึ้นจาก 1.1050 ภายใน 10 นาที คุณจะได้รับผลกำไร แต่หากราคาหลุดต่ำกว่า 1.1040 คุณจะสูญเสียเงินลงทุนจำนวน 2-5% ของเงินทุนทั้งหมดของคุณ

1. 1. 6. การผสมผสานกลยุทธ์ Bounce กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ

เพื่อให้กลยุทธ์ Bounce มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คุณสามารถผสมผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ได้:

**Relative Strength Index (RSI):** RSI สามารถช่วยระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งสามารถยืนยันแนวรับและแนวต้านได้
**Moving Average Convergence Divergence (MACD):** MACD สามารถช่วยระบุแนวโน้มและโมเมนตัม ซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
**Bollinger Bands:** Bollinger Bands สามารถช่วยระบุช่วงราคาที่ราคาอาจเด้งกลับได้
**Volume Analysis:** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย สามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับและแนวต้าน

1. 1. 7. กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง

นอกเหนือจากกลยุทธ์ Bounce แล้ว ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งคุณอาจสนใจ:

**Breakout Strategy:** กลยุทธ์ Breakout มุ่งเน้นไปที่การซื้อขายเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
**Trend Following Strategy:** กลยุทธ์ Trend Following มุ่งเน้นไปที่การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา
**Scalping Strategy:** กลยุทธ์ Scalping มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
**Pin Bar Strategy:** กลยุทธ์ Pin Bar ใช้รูปแบบ Pin Bar บนกราฟราคาเพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Engulfing Bar Strategy:** กลยุทธ์ Engulfing Bar ใช้รูปแบบ Engulfing Bar บนกราฟราคาเพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Double Top/Bottom Strategy:** กลยุทธ์ Double Top/Bottom ใช้รูปแบบ Double Top หรือ Double Bottom เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Head and Shoulders Strategy:** กลยุทธ์ Head and Shoulders ใช้รูปแบบ Head and Shoulders เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Three White Soldiers/Black Crows Strategy:** กลยุทธ์ Three White Soldiers/Black Crows ใช้รูปแบบแท่งเทียน Three White Soldiers หรือ Black Crows เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Ichimoku Cloud Strategy:** กลยุทธ์ Ichimoku Cloud ใช้ระบบ Ichimoku Cloud เพื่อระบุแนวโน้มและระดับแนวรับ/แนวต้าน
**Harmonic Pattern Strategy:** กลยุทธ์ Harmonic Pattern ใช้รูปแบบ Harmonic เช่น Butterfly หรือ Gartley เพื่อระบุจุดกลับตัวของราคา
**Candlestick Pattern Strategy:** กลยุทธ์รูปแบบแท่งเทียน ใช้รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา
**Support and Resistance Levels Strategy:** กลยุทธ์ระดับแนวรับและแนวต้าน ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านเพื่อระบุจุดเข้าซื้อขาย
**Price Action Strategy:** กลยุทธ์ Price Action วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยตรงเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
**Momentum Strategy:** กลยุทธ์โมเมนตัม ใช้ตัวบ่งชี้โมเมนตัมเพื่อระบุโอกาสในการซื้อขาย
**Volatility Strategy:** กลยุทธ์ความผันผวน ใช้ตัวบ่งชี้ความผันผวนเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา

1. 1. 8. สรุป

กลยุทธ์ Bounce เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสำหรับการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น การระบุแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำ การตั้งค่าการซื้อขายที่เหมาะสม และการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์นี้ อย่าลืมผสมผสานกลยุทธ์ Bounce กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาทักษะการซื้อขายของคุณ

ตัวอย่างสรุปกลยุทธ์ Bounce
เงื่อนไข	สัญญาณ	การดำเนินการ	เวลาหมดอายุ	Stop Loss
ราคาเข้าใกล้แนวรับ	แนวรับแข็งแกร่ง, RSI Oversold	ซื้อ Call Option	5-15 นาที	ใต้แนวรับเล็กน้อย
ราคาเข้าใกล้แนวต้าน	แนวต้านแข็งแกร่ง, RSI Overbought	ขาย Put Option	5-15 นาที	เหนือแนวต้านเล็กน้อย

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น

กลยุทธ์ Bounce

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

เข้าร่วมชุมชนของเรา

Navigation menu