Volume Spike Strategy
- Volume Spike Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายไบนารี่ออปชั่นด้วยปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ
บทนำ
การซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่รวดเร็วได้เช่นกัน หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพคือ “Volume Spike Strategy” หรือกลยุทธ์การใช้ประโยชน์จากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดของกลยุทธ์นี้ รวมถึงวิธีการใช้งาน ข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังต่างๆ สำหรับผู้เริ่มต้น
ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) คืออะไร?
ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) หมายถึง จำนวนหุ้น, สัญญา หรือล็อต ที่ซื้อขายในช่วงเวลาหนึ่งๆ (เช่น รายวัน, รายสัปดาห์, รายเดือน) ปริมาณการซื้อขายที่สูงบ่งบอกถึงความสนใจและความตื่นตัวของตลาดในสินทรัพย์นั้นๆ ในทางกลับกัน ปริมาณการซื้อขายที่ต่ำอาจบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายหรือความไม่แน่นอน
Volume Spike คืออะไร?
Volume Spike หรือการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างผิดปกติ หมายถึง การที่ปริมาณการซื้อขายในสินทรัพย์ใดๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในอดีต Volume Spike มักเกิดขึ้นเมื่อมีข่าวสำคัญ, เหตุการณ์สำคัญ หรือการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของตลาด การเปลี่ยนแปลงนี้มักเป็นตัวเร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว
หลักการทำงานของ Volume Spike Strategy
กลยุทธ์ Volume Spike Strategy อาศัยหลักการที่ว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอย่างผิดปกติมักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคา การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายร่วมกับการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง มักจะบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มนั้นๆ
- **Volume Spike ขึ้น (Upward Volume Spike):** เกิดขึ้นเมื่อปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของราคา บ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ Call Option
- **Volume Spike ลง (Downward Volume Spike):** เกิดขึ้นเมื่อปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากพร้อมกับการลดลงของราคา บ่งบอกถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง และอาจเป็นสัญญาณให้เข้าขาย Put Option
วิธีการใช้งาน Volume Spike Strategy
1. **เลือกสินทรัพย์:** เลือกสินทรัพย์ที่คุณคุ้นเคยและมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจน สินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม เช่น คู่สกุลเงิน (EUR/USD, GBP/USD), สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ, น้ำมัน), หรือดัชนีหุ้น (S&P 500) 2. **กำหนดกรอบเวลา (Timeframe):** เลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของคุณ โดยทั่วไปแล้วกรอบเวลาที่นิยมใช้คือ 5 นาที, 15 นาที, หรือ 30 นาที 3. **วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย:** คำนวณปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 20 วัน, 50 วัน) เพื่อใช้เป็นฐานในการเปรียบเทียบ 4. **ระบุ Volume Spike:** มองหาช่วงเวลาที่ปริมาณการซื้อขายสูงกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น สูงกว่า 2 เท่า หรือ 3 เท่า) 5. **ยืนยันด้วยการเคลื่อนไหวของราคา:** ตรวจสอบว่า Volume Spike เกิดขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือไม่ 6. **เข้าซื้อขาย:**
* หากเป็น Upward Volume Spike ให้เข้าซื้อ Call Option * หากเป็น Downward Volume Spike ให้เข้าขาย Put Option
7. **กำหนดจุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** กำหนดจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ 8. **บริหารความเสี่ยง:** อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถเสียได้ และใช้ขนาด Position ที่เหมาะสม
ตัวอย่างการใช้งาน Volume Spike Strategy
สมมติว่าคุณกำลังซื้อขายคู่สกุลเงิน EUR/USD ในกรอบเวลา 15 นาที คุณสังเกตเห็นว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในช่วง 20 วันที่ผ่านมาคือ 100,000 ล็อต ในช่วงเวลาหนึ่ง คุณสังเกตเห็นว่าปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้นเป็น 300,000 ล็อต พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างรวดเร็ว นี่คือสัญญาณ Upward Volume Spike ที่ชัดเจน คุณอาจตัดสินใจเข้าซื้อ Call Option โดยตั้งจุดทำกำไรที่ 10 Pips และจุดตัดขาดทุนที่ 5 Pips
เครื่องมือและตัวชี้วัดที่ใช้ร่วมกับ Volume Spike Strategy
เพื่อให้การตัดสินใจซื้อขายมีความแม่นยำยิ่งขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมกับ Volume Spike Strategy ได้ ดังนี้
- **Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่):** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคา Moving Average
- **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และระบุสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือการขายมากเกินไป (Oversold) RSI
- **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม และสัญญาณซื้อขาย MACD
- **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคา และระบุช่วงราคาที่อาจเกิดการกลับตัว Bollinger Bands
- **Support and Resistance Levels (แนวรับและแนวต้าน):** ใช้เพื่อระบุระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัวหรือการทะลุผ่าน Support and Resistance
- **Fibonacci Retracement:** ใช้เพื่อระบุระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัวหรือการพักตัว Fibonacci Retracement
- **Candlestick Patterns (รูปแบบแท่งเทียน):** ใช้เพื่อระบุสัญญาณซื้อขายจากรูปแบบของแท่งเทียน Candlestick Patterns
ข้อดีของ Volume Spike Strategy
- **สัญญาณที่ชัดเจน:** Volume Spike เป็นสัญญาณที่ชัดเจนและง่ายต่อการระบุ
- **โอกาสในการทำกำไรสูง:** Volume Spike มักนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสทำกำไรสูง
- **ใช้ได้กับสินทรัพย์หลากหลาย:** กลยุทธ์นี้สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์หลากหลายประเภท
- **สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ:** สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือและตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ข้อเสียของ Volume Spike Strategy
- **สัญญาณหลอก (False Signals):** บางครั้ง Volume Spike อาจเป็นสัญญาณหลอกที่ไม่ได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่คาดหวัง
- **ความเสี่ยงสูง:** การซื้อขายไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง และ Volume Spike Strategy ก็ไม่เว้นเช่นกัน
- **ต้องใช้ความระมัดระวัง:** ต้องใช้ความระมัดระวังในการวิเคราะห์และยืนยันสัญญาณก่อนเข้าซื้อขาย
- **ต้องติดตามข่าวสาร:** การติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อควรระวังในการใช้ Volume Spike Strategy
- **อย่าซื้อขายตาม Volume Spike เพียงอย่างเดียว:** ควรใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อยืนยันสัญญาณ
- **บริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด:** กำหนดจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนที่เหมาะสม และอย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถเสียได้
- **ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ:** ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
- **ฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์:** ก่อนที่จะใช้กลยุทธ์นี้ในการซื้อขายจริง ควรฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์ในบัญชี Demo ก่อน
- **ทำความเข้าใจความเสี่ยง:** ทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น และ Volume Spike Strategy อย่างละเอียด
กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- Breakout Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
- Trend Following Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา
- Reversal Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายเมื่อราคาเกิดการกลับตัว
- Scalping Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรเล็กน้อย
- News Trading: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ประโยชน์จากข่าวสารเศรษฐกิจ
- Momentum Trading: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ประโยชน์จากแรงโมเมนตัมของราคา
- Range Trading: กลยุทธ์การซื้อขายในกรอบราคาที่จำกัด
- Support and Resistance Trading: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้แนวรับและแนวต้าน
- Fibonacci Trading: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ Fibonacci Retracement
- Candlestick Pattern Trading: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้รูปแบบแท่งเทียน
- Bollinger Band Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ Bollinger Bands
- MACD Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ MACD
- RSI Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ RSI
- Moving Average Crossover Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัดกัน
- Ichimoku Cloud Strategy: กลยุทธ์การซื้อขายโดยใช้ Ichimoku Cloud
สรุป
Volume Spike Strategy เป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพในการทำกำไรในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน การทำความเข้าใจหลักการทำงาน การใช้งาน และข้อควรระวังต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการใช้กลยุทธ์นี้ในการซื้อขายจริง การฝึกฝน การทดสอบ และการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการซื้อขายของคุณ (Category:Trading Strategies)
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
