Support and Resistance Trading
- Support and Resistance Trading
การซื้อขายโดยใช้แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานและสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในตลาดการเงินทุกประเภท รวมถึงตลาด ไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) ด้วย บทความนี้จะอธิบายแนวคิดของแนวรับและแนวต้านอย่างละเอียด พร้อมทั้งวิธีการนำไปใช้ในการเทรดไบนารี่ออปชั่นอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับผู้เริ่มต้น
- แนวรับและแนวต้านคืออะไร?
- แนวรับ (Support)** คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดการลดลงของราคา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นระดับราคาที่ผู้ขาย (Sellers) เริ่มรู้สึกว่าราคาต่ำเกินไป และเริ่มเข้าซื้อ (Buy) ทำให้แรงขายลดลงและราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น
- แนวต้าน (Resistance)** คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมามากพอที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของราคา หรือเป็นระดับราคาที่ผู้ซื้อ (Buyers) เริ่มรู้สึกว่าราคาสูงเกินไป และเริ่มขาย (Sell) ทำให้แรงซื้อลดลงและราคามีโอกาสที่จะปรับตัวลง
แนวรับและแนวต้านไม่ได้เป็นเส้นที่ตายตัว แต่เป็น *โซน* หรือ *บริเวณ* ที่ราคาอาจจะมีการกลับตัวได้ การระบุแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำต้องอาศัยประสบการณ์และการสังเกตพฤติกรรมของราคาในอดีต
- การระบุแนวรับและแนวต้าน
มีหลายวิธีในการระบุแนวรับและแนวต้าน:
- **จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดก่อนหน้า (Swing Highs and Swing Lows):** มองหาจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ที่ชัดเจนในกราฟราคา จุดต่ำสุดก่อนหน้ามักจะเป็นแนวรับ และจุดสูงสุดก่อนหน้ามักจะเป็นแนวต้าน วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมในการเริ่มต้น
- **เส้นแนวโน้ม (Trend Lines):** ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดที่ต่อเนื่องกันเพื่อสร้างแนวรับ และลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่ต่อเนื่องกันเพื่อสร้างแนวต้าน เส้นแนวโน้มสามารถช่วยยืนยันแนวรับและแนวต้านได้
- **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น 200 วัน
- **ระดับ Fibonacci Retracement:** ใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้นตามสัดส่วน Fibonacci
- **ปริมาณการซื้อขาย (Volume):** สังเกตปริมาณการซื้อขายที่บริเวณแนวรับและแนวต้าน หากมีปริมาณการซื้อขายสูงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน แสดงว่าแนวรับหรือแนวต้านนั้นมีความแข็งแกร่ง
- การใช้แนวรับและแนวต้านในการเทรดไบนารี่ออปชั่น
เมื่อคุณระบุแนวรับและแนวต้านได้แล้ว คุณสามารถนำไปใช้ในการเทรดไบนารี่ออปชั่นได้หลายวิธี:
1. **การเทรดแบบ Reversal (การกลับตัว):**
* **Buy (Call Option):** เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ และมีสัญญาณบ่งบอกว่าราคาจะดีดตัวขึ้น (เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว) ให้เปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะขึ้นไปทดสอบแนวต้าน * **Sell (Put Option):** เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน และมีสัญญาณบ่งบอกว่าราคาจะปรับตัวลง (เช่น รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว) ให้เปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะลงไปทดสอบแนวรับ
2. **การเทรดแบบ Breakout (การทะลุ):**
* **Buy (Call Option):** เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างแข็งแกร่ง (พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น) ให้เปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป * **Sell (Put Option):** เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมาอย่างแข็งแกร่ง (พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น) ให้เปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะยังคงปรับตัวลงต่อไป
3. **การเทรดแบบ Range Trading (การเทรดในกรอบ):**
* เมื่อราคาเคลื่อนที่อยู่ในกรอบระหว่างแนวรับและแนวต้าน ให้ซื้อ (Call Option) เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ และขาย (Put Option) เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาดที่ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน (Sideways Market)
- ตัวอย่างการใช้งาน
สมมติว่าคุณสังเกตเห็นกราฟราคาของสินทรัพย์หนึ่ง และพบว่า:
- แนวรับอยู่ที่ 1.1000
- แนวต้านอยู่ที่ 1.1200
- สถานการณ์ที่ 1: ราคาเข้าใกล้แนวรับ**
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.1050 และคุณสังเกตเห็นว่ามีรูปแบบแท่งเทียน Bullish Engulfing เกิดขึ้นบริเวณแนวรับ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแรงซื้อกำลังเข้ามา คุณอาจจะเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.1200
- สถานการณ์ที่ 2: ราคาเข้าใกล้แนวต้าน**
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.1150 และคุณสังเกตเห็นว่ามีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นบริเวณแนวต้าน และเกิดรูปแบบแท่งเทียน Bearish Harami ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแรงขายกำลังเข้ามา คุณอาจจะเปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะลงไปทดสอบแนวรับที่ 1.1000
- สถานการณ์ที่ 3: ราคาทะลุแนวต้าน**
ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.1200 และทะลุแนวต้านขึ้นไปพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก คุณอาจจะเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป
- ข้อควรระวังและเคล็ดลับเพิ่มเติม
- **ยืนยันด้วยเครื่องมืออื่นๆ:** อย่าพึ่งพาแนวรับและแนวต้านเพียงอย่างเดียว ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น Relative Strength Index (RSI) หรือ Moving Average Convergence Divergence (MACD) เพื่อยืนยันสัญญาณ
- **พิจารณาปริมาณการซื้อขาย:** ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับหรือแนวต้านนั้น
- **แนวรับและแนวต้านสามารถสลับบทบาทได้:** เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน แนวรับอาจกลายเป็นแนวต้าน และแนวต้านอาจกลายเป็นแนวรับได้
- **ใช้ Stop Loss:** กำหนดระดับ Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงในกรณีที่ราคาเคลื่อนที่สวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้
- **บริหารจัดการเงินทุน (Money Management):** อย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้ และกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- Pin Bar Strategy: ใช้รูปแบบ Pin Bar ร่วมกับแนวรับและแนวต้านเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- Engulfing Bar Strategy: ใช้รูปแบบ Engulfing Bar ร่วมกับแนวรับและแนวต้านเพื่อยืนยันการกลับตัว
- Breakout Strategy: เน้นการเทรดเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
- Fibonacci Trading: ใช้ระดับ Fibonacci ร่วมกับแนวรับและแนวต้าน
- Trend Following: ใช้แนวรับและแนวต้านเพื่อยืนยันแนวโน้ม
- Range Trading: เทรดภายในกรอบแนวรับและแนวต้าน
- Support and Resistance Channels: สร้างช่องสัญญาณโดยใช้แนวรับและแนวต้าน
- Double Top and Double Bottom: รูปแบบ Double Top และ Double Bottom มักจะเกิดขึ้นที่แนวต้านและแนวรับ
- Head and Shoulders: รูปแบบ Head and Shoulders มักจะเกิดขึ้นที่แนวต้าน
- Inverse Head and Shoulders: รูปแบบ Inverse Head and Shoulders มักจะเกิดขึ้นที่แนวรับ
- Moving Average Bounce: ใช้การดีดตัวของราคาจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน
- Bollinger Bands Squeeze: ใช้การบีบตัวของ Bollinger Bands ร่วมกับแนวรับและแนวต้าน
- Ichimoku Cloud: ใช้ Ichimoku Cloud เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน
- Pivot Points: ใช้ Pivot Points เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน
- Donchian Channels: ใช้ Donchian Channels เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับแนวรับและแนวต้านจะช่วยให้คุณเข้าใจความแข็งแกร่งของแนวรับและแนวต้านได้ดีขึ้น:
- **ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ:** แสดงว่ามีแรงซื้อที่แข็งแกร่งเข้ามา ทำให้แนวรับมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
- **ปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน:** แสดงว่าแรงซื้อกำลังอ่อนตัวลง ทำให้แนวต้านมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
- **ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน:** ยืนยันว่าการทะลุนั้นมีความแข็งแกร่งและมีโอกาสที่จะเกิดการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง
- สรุป
การเทรดโดยใช้แนวรับและแนวต้านเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่นทุกคน การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถนำกลยุทธ์นี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
| ระดับ | คำอธิบาย | การนำไปใช้ |
|---|---|---|
| แนวรับแข็งแกร่ง | ระดับราคาที่ราคาเคยดีดตัวขึ้นมาหลายครั้ง | ใช้เป็นจุดเข้าซื้อ (Call Option) |
| แนวรับอ่อนแอ | ระดับราคาที่ราคาเคยทดสอบแต่ไม่สามารถดีดตัวขึ้นมาได้ | ระมัดระวังในการเข้าซื้อ |
| แนวต้านแข็งแกร่ง | ระดับราคาที่ราคาเคยปรับตัวลงมาหลายครั้ง | ใช้เป็นจุดเข้าขาย (Put Option) |
| แนวต้านอ่อนแอ | ระดับราคาที่ราคาเคยทดสอบแต่ไม่สามารถปรับตัวลงมาได้ | ระมัดระวังในการเข้าขาย |
| การทะลุแนวรับ/แนวต้าน | ราคาเคลื่อนที่เหนือแนวต้านหรือใต้แนวรับอย่างชัดเจน | ใช้เป็นสัญญาณการเทรด Breakout |
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ไบนารี่ออปชั่น แนวโน้ม รูปแบบแท่งเทียน Relative Strength Index (RSI) Moving Average Convergence Divergence (MACD) ปริมาณการซื้อขาย Stop Loss Money Management Fibonacci Retracement Trend Lines Moving Averages
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
