Take-profit order
- Take-profit Order ในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้เริ่มต้น
- บทนำ**
ไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความเรียบง่ายในการทำความเข้าใจและโอกาสในการทำกำไรที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การประสบความสำเร็จในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือและกลยุทธ์ต่างๆ ที่ใช้ในการซื้อขาย หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักเทรดไบนารี่ออปชั่นควรทำความเข้าใจคือ **Take-profit Order** หรือคำสั่งทำกำไร
บทความนี้จะอธิบาย Take-profit Order อย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น โดยจะครอบคลุมถึงความหมาย, หลักการทำงาน, ข้อดีข้อเสีย, วิธีการตั้งค่า, และกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Take-profit Order ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
- Take-profit Order คืออะไร?**
Take-profit Order คือ คำสั่งที่นักเทรดตั้งไว้กับโบรกเกอร์เพื่อปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หรือเมื่อกำไรที่ได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เปรียบเสมือนการตั้ง "จุดหมาย" สำหรับการซื้อขายของคุณ เมื่อราคาถึงจุดหมายนั้น การซื้อขายจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณสามารถล็อคกำไรที่ได้ หรือลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคต
ในบริบทของไบนารี่ออปชั่น Take-profit Order มีความแตกต่างจากตลาด Forex หรือหุ้นเล็กน้อย เนื่องจากไบนารี่ออปชั่นเป็นการเดิมพันว่าราคาจะขึ้นหรือลงภายในระยะเวลาที่กำหนด หากคุณคาดการณ์ถูกต้อง คุณจะได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ แต่ถ้าคาดการณ์ผิด คุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ดังนั้น Take-profit Order ในไบนารี่ออปชั่นจึงมักจะใช้เพื่อล็อคกำไรก่อนหมดอายุของสัญญา (expiry time) หรือเพื่อลดความเสี่ยงหากคุณไม่แน่ใจว่าการคาดการณ์ของคุณจะถูกต้องหรือไม่ตลอดเวลา
- หลักการทำงานของ Take-profit Order ในไบนารี่ออปชั่น**
การทำงานของ Take-profit Order ในไบนารี่ออปชั่นนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา เมื่อคุณเปิดสถานะการซื้อขาย (เช่น Call หรือ Put) คุณสามารถตั้งค่า Take-profit Order ได้ โดยระบุระดับราคาหรือเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณต้องการล็อค
- **ระดับราคา:** คุณสามารถกำหนดระดับราคาที่ต้องการให้การซื้อขายปิดโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ Call Option ที่ราคา 1.00 และตั้ง Take-profit Order ที่ราคา 1.05 เมื่อราคาถึง 1.05 การซื้อขายจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ
- **เปอร์เซ็นต์กำไร:** คุณสามารถกำหนดเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณต้องการล็อค ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุน 100 ดอลลาร์ และตั้ง Take-profit Order ที่ 20% เมื่อกำไรของคุณถึง 20 ดอลลาร์ (หรือ 120 ดอลลาร์) การซื้อขายจะถูกปิดโดยอัตโนมัติ
เมื่อ Take-profit Order ถูกตั้งค่าและราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่กำหนด คำสั่งจะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติโดยโบรกเกอร์ ทำให้คุณไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อปิดสถานะการซื้อขายด้วยตนเอง
- ข้อดีของการใช้ Take-profit Order**
การใช้ Take-profit Order มีข้อดีหลายประการ ดังนี้:
- **ล็อคกำไร:** ช่วยให้คุณล็อคกำไรที่ได้จากการซื้อขาย แม้ว่าราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ไว้
- **ลดความเสี่ยง:** ช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
- **ประหยัดเวลา:** ช่วยประหยัดเวลาในการเฝ้าหน้าจอและปิดสถานะการซื้อขายด้วยตนเอง
- **กำจัดอารมณ์:** ช่วยกำจัดอารมณ์ในการซื้อขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโลภและความกลัว ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
- **เพิ่มประสิทธิภาพ:** ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบอัตโนมัติ (automated trading) เช่น Martingale หรือ Anti-Martingale
- ข้อเสียของการใช้ Take-profit Order**
แม้ว่า Take-profit Order จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อเสียบางประการที่นักเทรดควรพิจารณา:
- **พลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้น:** หากคุณตั้ง Take-profit Order ไว้ต่ำเกินไป คุณอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นหากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ต่อไป
- **Slippage:** ในบางสถานการณ์ อาจเกิด Slippage ซึ่งหมายความว่าราคาที่การซื้อขายถูกปิดจริงอาจแตกต่างจากระดับราคาที่คุณตั้งไว้ใน Take-profit Order
- **ค่าธรรมเนียม:** บางโบรกเกอร์อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการใช้ Take-profit Order
- วิธีการตั้งค่า Take-profit Order**
วิธีการตั้งค่า Take-profit Order จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มการซื้อขายที่คุณใช้ โดยทั่วไปแล้ว คุณจะต้องทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. **เปิดสถานะการซื้อขาย:** เลือกสินทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อขาย และเปิดสถานะการซื้อขาย (Call หรือ Put) 2. **ตั้งค่า Take-profit Order:** ในหน้าต่างการซื้อขาย หรือในเมนูตั้งค่าคำสั่ง ให้เลือก "Take-profit Order" และระบุระดับราคาหรือเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณต้องการ 3. **ยืนยันคำสั่ง:** ตรวจสอบรายละเอียดของคำสั่งของคุณ และยืนยันคำสั่ง
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Take-profit Order**
Take-profit Order สามารถใช้ร่วมกับกลยุทธ์การซื้อขายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น:
- **Trend Following:** ใช้ Take-profit Order เพื่อล็อคกำไรเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม (trend) ที่คุณคาดการณ์ไว้ กลยุทธ์ Moving Average Crossover สามารถใช้ร่วมกับ Take-profit Order ได้อย่างดี
- **Breakout Trading:** ใช้ Take-profit Order เพื่อล็อคกำไรเมื่อราคา breakout จากระดับแนวรับหรือแนวต้าน กลยุทธ์ Support and Resistance เป็นพื้นฐานสำคัญ
- **Range Trading:** ใช้ Take-profit Order เพื่อล็อคกำไรเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้านในกรอบราคา (range) กลยุทธ์ Bollinger Bands สามารถช่วยระบุช่วงราคาที่เหมาะสม
- **Scalping:** ใช้ Take-profit Order เพื่อล็อคกำไรจากการซื้อขายระยะสั้นๆ หลายครั้ง (scalping) กลยุทธ์ Japanese Candlestick Patterns ช่วยในการตัดสินใจ
- **Combining with Stop-Loss:** การใช้ Take-profit Order ร่วมกับ Stop-Loss Order เป็นวิธีการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ ช่วยจำกัดการขาดทุนและล็อคกำไร
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปริมาณการซื้อขายเพื่อตั้งค่า Take-profit Order ที่เหมาะสม**
การตั้งค่า Take-profit Order ที่เหมาะสมต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปริมาณการซื้อขายอย่างรอบคอบ:
- **แนวรับและแนวต้าน:** ระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญเพื่อใช้เป็นระดับ Take-profit Order
- **Fibonacci Retracement:** ใช้ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับ Take-profit Order ที่อาจเป็นไปได้
- **แนวโน้ม:** พิจารณาแนวโน้มของราคาเพื่อตั้งค่า Take-profit Order ในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้ม
- **ปริมาณการซื้อขาย:** ปริมาณการซื้อขายที่สูงบ่งบอกถึงความสนใจในสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งอาจช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับ Take-profit Order
- **Indicators:** ใช้ indicators ทางเทคนิค เช่น Relative Strength Index (RSI), Moving Averages, และ MACD เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตั้งค่า Take-profit Order
- ตัวอย่างการใช้ Take-profit Order**
สมมติว่าคุณต้องการซื้อ Call Option ของสินทรัพย์ XYZ ที่ราคาปัจจุบันคือ 100 ดอลลาร์ และคุณคาดการณ์ว่าราคานี้จะเพิ่มขึ้น คุณเปิดสถานะการซื้อขาย Call Option และตั้ง Take-profit Order ที่ราคา 105 ดอลลาร์
- **สถานการณ์ที่ 1:** หากราคาของ XYZ เพิ่มขึ้นถึง 105 ดอลลาร์ Take-profit Order จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ และคุณจะได้รับกำไร
- **สถานการณ์ที่ 2:** หากราคาของ XYZ ไม่เพิ่มขึ้นถึง 105 ดอลลาร์ แต่เพิ่มขึ้นถึง 103 ดอลลาร์ คุณอาจตัดสินใจที่จะปิดสถานะการซื้อขายด้วยตนเองเพื่อล็อคกำไรบางส่วน หรือปล่อยให้ Take-profit Order ทำงานต่อไปหากคุณยังคงเชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้นต่อไป
- **สถานการณ์ที่ 3:** หากราคาของ XYZ ลดลง คุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด
- สรุป**
Take-profit Order เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่นทุกคน ช่วยให้คุณล็อคกำไร ลดความเสี่ยง และประหยัดเวลา การทำความเข้าใจหลักการทำงานและวิธีการตั้งค่า Take-profit Order ที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นของคุณ
- คำแนะนำเพิ่มเติม:**
- ฝึกฝนการใช้ Take-profit Order ในบัญชีทดลอง (demo account) ก่อนที่จะใช้ในบัญชีจริง
- ศึกษาและทำความเข้าใจกลยุทธ์การซื้อขายต่างๆ ที่สามารถใช้ร่วมกับ Take-profit Order ได้
- บริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และอย่าลงทุนเกินกว่าที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้
Binary Options Trading Risk Management Trading Strategies Technical Analysis Fundamental Analysis Candlestick Patterns Moving Averages Bollinger Bands RSI MACD Fibonacci Retracement Support and Resistance Trend Following Breakout Trading Range Trading Scalping Martingale Anti-Martingale Stop-Loss Order (Category:Trading terminology)
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
