Support and Resistance Level Strategy

1. Support and Resistance Level Strategy

บทนำ

กลยุทธ์ Support and Resistance Level เป็นหนึ่งในกลยุทธ์พื้นฐานและสำคัญที่สุดในการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น และตลาดการเงินโดยทั่วไป หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้คือการระบุระดับราคาที่แนวโน้มของราคาคาดว่าจะหยุดหรือกลับตัว การทำความเข้าใจและใช้กลยุทธ์นี้อย่างถูกต้องสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมาก บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดของ Support and Resistance Level วิธีการระบุระดับเหล่านี้ และวิธีการนำไปใช้ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการผสมผสานกับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค อื่นๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

Support และ Resistance คืออะไร?

• Support* คือระดับราคาที่คาดว่าความต้องการซื้อจะแข็งแกร่งพอที่จะหยุดการลดลงของราคา ในทางกลับกัน *Resistance* คือระดับราคาที่คาดว่าแรงกดดันในการขายจะแข็งแกร่งพอที่จะหยุดการเพิ่มขึ้นของราคา ระดับเหล่านี้ไม่ได้เป็นเส้นตายที่แน่นอน แต่เป็นโซนที่ราคาอาจจะหยุดพักหรือกลับตัว

การเข้าใจแนวคิดนี้มาจากการเปรียบเทียบกับแรงทางกายภาพ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังพยายามผลักวัตถุขึ้นไป หากมีแรงต้านทานจากด้านล่าง วัตถุจะหยุดหรือชะลอตัวลง ณ จุดนั้นคือ Resistance ในทำนองเดียวกัน หากมีแรงค้ำจุนจากด้านล่าง วัตถุจะไม่ตกลงไปอีกต่อไป ณ จุดนั้นคือ Support

การระบุ Support และ Resistance Level

มีหลายวิธีในการระบุ Support และ Resistance Level:

1. **การมองหาจุดสูงสุดและต่ำสุดก่อนหน้า (Swing Highs and Swing Lows):** วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้น มองหาจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ที่เห็นได้ชัดเจนบนกราฟราคา จุดต่ำสุดก่อนหน้ามักจะเป็น Support และจุดสูงสุดก่อนหน้ามักจะเป็น Resistance 2. **เส้นแนวโน้ม (Trendlines):** ลากเส้นเชื่อมต่อจุดต่ำสุดสองจุดขึ้นไปเพื่อสร้างเส้นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เส้นนี้มักจะทำหน้าที่เป็น Support ในทำนองเดียวกัน ลากเส้นเชื่อมต่อจุดสูงสุดสองจุดขึ้นไปเพื่อสร้างเส้นแนวโน้มขาลง (Downtrend) เส้นนี้มักจะทำหน้าที่เป็น Resistance 3. **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สามารถใช้เป็น Support และ Resistance แบบไดนามิกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาวเช่น 50 วัน หรือ 200 วัน 4. **Fibonacci Retracement:** ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับ Support และ Resistance ที่อาจเกิดขึ้นตามสัดส่วน Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8% 5. **Pivot Points:** Pivot Points เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้คำนวณระดับ Support และ Resistance โดยอิงจากราคา High, Low, และ Close ของช่วงเวลาที่กำหนด

การใช้ Support and Resistance ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น

เมื่อคุณระบุ Support และ Resistance Level ได้แล้ว คุณสามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น:

• **การซื้อเมื่อราคาแตะ Support:** เมื่อราคาตกลงมาจนถึง Support Level คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นไป
• **การขายเมื่อราคาแตะ Resistance:** เมื่อราคาขึ้นไปจนถึง Resistance Level คุณอาจพิจารณาเปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวลง
• **Breakout Strategy:** หากราคาทะลุผ่าน Resistance Level (Breakout) อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นจะแข็งแกร่งขึ้น และคุณอาจพิจารณาเปิดสถานะซื้อ
• **Breakdown Strategy:** หากราคาทะลุผ่าน Support Level (Breakdown) อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงจะแข็งแกร่งขึ้น และคุณอาจพิจารณาเปิดสถานะขาย
• **Re-test Strategy:** หลังจากที่ราคา Breakout หรือ Breakdown ระดับ Support หรือ Resistance เดิมอาจกลายเป็น Resistance หรือ Support ใหม่ตามลำดับ การรอให้ราคา Re-test ระดับเหล่านี้ก่อนเปิดสถานะอาจเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

ตัวอย่างการซื้อขาย

สมมติว่ากราฟราคาของคู่เงิน EUR/USD แสดงให้เห็น Support Level ที่ 1.0800 และ Resistance Level ที่ 1.0900

• **สถานการณ์ที่ 1:** หากราคาตกลงมาที่ 1.0800 คุณอาจเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยมีเป้าหมายให้ราคากลับไปที่ 1.0900 หรือสูงกว่า
• **สถานการณ์ที่ 2:** หากราคาขึ้นไปที่ 1.0900 คุณอาจเปิดสถานะขาย (Put Option) โดยมีเป้าหมายให้ราคาปรับตัวลงมาที่ 1.0800 หรือต่ำกว่า
• **สถานการณ์ที่ 3:** หากราคาทะลุผ่าน 1.0900 (Breakout) คุณอาจเปิดสถานะซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะขึ้นไปอีก
• **สถานการณ์ที่ 4:** หากราคาทะลุผ่าน 1.0800 (Breakdown) คุณอาจเปิดสถานะขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะลงไปอีก

การผสมผสานกับเครื่องมือและกลยุทธ์อื่นๆ

เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการซื้อขาย คุณควรผสมผสานกลยุทธ์ Support and Resistance กับเครื่องมือและกลยุทธ์อื่นๆ:

• **การยืนยันด้วย Indicators:** ใช้ Indicators เช่น RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence), หรือ Stochastic Oscillator เพื่อยืนยันสัญญาณที่ได้จาก Support และ Resistance Level
• **การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns):** มองหารูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มที่บริเวณ Support และ Resistance Level เช่น Doji, Engulfing, หรือ Hammer
• **การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis):** สังเกตปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นเมื่อราคาเข้าใกล้ Support และ Resistance Level ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของระดับเหล่านั้น
• **การใช้กลยุทธ์ Trend Following:** หากคุณอยู่ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน ให้ใช้กลยุทธ์ Trend Following ร่วมกับ Support และ Resistance เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในทิศทางของแนวโน้ม
• **การใช้กลยุทธ์ Range Trading:** หากตลาดอยู่ในช่วง Sideways หรือ Range-bound ให้ใช้กลยุทธ์ Range Trading โดยการซื้อที่ Support และขายที่ Resistance

ข้อควรระวังและข้อจำกัด

• **False Breakouts:** บางครั้งราคาอาจทะลุผ่าน Support หรือ Resistance Level เพียงชั่วคราว (False Breakout) ก่อนที่จะกลับตัว การใช้ Stop-Loss Order สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากสถานการณ์นี้ได้
• **ระดับ Support และ Resistance ไม่แน่นอน:** ระดับเหล่านี้ไม่ใช่เส้นตายที่แน่นอน ราคาอาจทะลุผ่านระดับเหล่านี้ได้ และระดับ Support อาจกลายเป็น Resistance และในทางกลับกัน
• **การเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาด:** สภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอาจทำให้ Support และ Resistance Level ที่เคยมีประสิทธิภาพในอดีตไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
• **การจัดการความเสี่ยง (Risk Management):** การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสมและใช้ Stop-Loss Order เสมอ

สรุป

กลยุทธ์ Support and Resistance Level เป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับนักเทรดไบนารี่ออปชั่นทุกคน การทำความเข้าใจแนวคิดนี้ การเรียนรู้วิธีการระบุระดับ Support และ Resistance อย่างถูกต้อง และการนำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือและกลยุทธ์อื่นๆ สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องระลึกถึงข้อควรระวังและข้อจำกัดของกลยุทธ์นี้ และใช้การจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องและการเชื่อมโยง

Bollinger Bands	ใช้ร่วมกับ Support และ Resistance เพื่อยืนยันสัญญาณ
Ichimoku Cloud	ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและระดับ Support/Resistance
Elliott Wave Theory	ช่วยในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาและการระบุระดับ Support/Resistance
Harmonic Patterns	รูปแบบที่ซับซ้อนที่ใช้ Fibonacci เพื่อระบุจุดกลับตัวที่เป็นไปได้
Price Action Trading	การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องใช้ Indicators
Scalping	การซื้อขายระยะสั้นที่ใช้ประโยชน์จากความผันผวนเล็กน้อย
Day Trading	การซื้อขายภายในวันเดียว โดยมุ่งเน้นที่การทำกำไรจากความผันผวนรายวัน
Swing Trading	การถือครอง Position เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
Position Trading	การถือครอง Position เป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี
Martingale Strategy	กลยุทธ์การเพิ่มขนาดการเดิมพันหลังจากการสูญเสีย (ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง)
Anti-Martingale Strategy	กลยุทธ์การเพิ่มขนาดการเดิมพันหลังจากการชนะ
Hedging Strategy	การลดความเสี่ยงโดยการเปิด Position ที่ตรงข้ามกัน
News Trading	การซื้อขายโดยอิงจากการประกาศข่าวทางเศรษฐกิจ
Correlation Trading	การซื้อขายโดยอิงจากความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ
Gap Trading	การซื้อขายโดยใช้ประโยชน์จากช่องว่างราคา (Price Gaps)

(Category:Trading Strategies)
(Category:Binary Options)
(Category:Technical Analysis)
(Category:Price Levels)
(Category:Investment Strategies)
(Category:Short-Term Trading)
(Category:Risk Management)
(Category:Market Analysis)
(Category:Forex Trading)
(Category:Stock Trading)
(Category:Investing)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น