Kelly criterion
- Kelly Criterion
- Kelly Criterion** หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า **สูตร Kelly** เป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการคำนวณขนาดของเงินทุนที่เหมาะสมในการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว โดยคำนึงถึงความน่าจะเป็นในการชนะและความได้เปรียบ (edge) ที่มีอยู่ สูตรนี้ถูกคิดค้นโดย Claude Shannon ในปี 1956 และต่อมาได้รับการพัฒนาโดย John Kelly Jr. เดิมทีสูตรนี้ถูกนำไปใช้ในการแก้ปัญหาการสื่อสารผ่านช่องสัญญาณที่มีสัญญาณรบกวน แต่ต่อมาได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการลงทุนและการพนัน รวมถึงการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น
- หลักการพื้นฐานของ Kelly Criterion
แนวคิดหลักของ Kelly Criterion คือการหาจุดสมดุลระหว่างการเพิ่มผลตอบแทนและความเสี่ยง โดยสูตรจะคำนวณสัดส่วนของเงินทุนที่ควรลงทุนในแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้อัตราการเติบโตของเงินทุนสูงสุดในระยะยาว โดยที่ความเสี่ยงของการล้มละลายยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
สูตร Kelly Criterion ในรูปแบบพื้นฐานคือ:
f = (bp - q) / b
โดยที่:
- f คือ สัดส่วนของเงินทุนที่ควรลงทุน (Fraction of capital to bet)
- b คือ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Odds) เช่น ถ้าลงทุน 1 บาท ได้รับผลตอบแทน 2 บาท b = 1
- p คือ ความน่าจะเป็นที่จะชนะ (Probability of winning)
- q คือ ความน่าจะเป็นที่จะแพ้ (Probability of losing) ซึ่งเท่ากับ 1 - p
- การประยุกต์ใช้ Kelly Criterion กับไบนารี่ออปชั่น
ในการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น Kelly Criterion สามารถช่วยให้เทรดเดอร์กำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสัญญาณการซื้อขายได้ โดยการประเมินความน่าจะเป็นที่จะชนะและความได้เปรียบที่มีอยู่
- ขั้นตอนการประยุกต์ใช้:**
1. **ประเมินความน่าจะเป็นที่จะชนะ (p):** การประเมินความน่าจะเป็นนี้ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และประสบการณ์ของเทรดเดอร์ ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ใช้ กลยุทธ์การเทรดแบบแนวโน้ม และพบว่าในอดีตสัญญาณการซื้อขายที่คล้ายกันชนะ 60% ของเวลา ค่า p จะเท่ากับ 0.6 2. **กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (b):** ในไบนารี่ออปชั่น อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมักจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น หากเทรดเดอร์ลงทุน 100 บาท และได้รับผลตอบแทน 180 บาท หากชนะ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (b) จะเท่ากับ 1.8 (180/100) 3. **คำนวณสัดส่วนของเงินทุนที่ควรลงทุน (f):** เมื่อได้ค่า p และ b แล้ว สามารถนำไปแทนในสูตร Kelly Criterion เพื่อคำนวณค่า f ได้
- ตัวอย่าง:**
สมมติว่าเทรดเดอร์ประเมินความน่าจะเป็นที่จะชนะ (p) ได้ 0.6 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (b) คือ 1.8
f = (1.8 * 0.6 - (1 - 0.6)) / 1.8 f = (1.08 - 0.4) / 1.8 f = 0.68 / 1.8 f = 0.3778 หรือประมาณ 37.78%
ดังนั้น เทรดเดอร์ควรลงทุนประมาณ 37.78% ของเงินทุนทั้งหมดในการซื้อขายครั้งนี้
- ข้อดีและข้อเสียของ Kelly Criterion
- ข้อดี:**
- **เพิ่มผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว:** Kelly Criterion ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของเงินทุนสูงสุดในระยะยาว
- **บริหารความเสี่ยง:** สูตรนี้คำนึงถึงความเสี่ยงในการล้มละลาย และช่วยให้เทรดเดอร์ลงทุนในระดับที่เหมาะสม
- **เป็นระบบ:** Kelly Criterion เป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ทำให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผล
- ข้อเสีย:**
- **ความแม่นยำในการประเมินความน่าจะเป็น:** ประสิทธิภาพของ Kelly Criterion ขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการประเมินความน่าจะเป็นที่จะชนะ หากการประเมินผิดพลาด สูตรอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง
- **ความผันผวน:** การใช้ Kelly Criterion อาจทำให้เกิดความผันผวนของเงินทุนในระยะสั้น เนื่องจากสูตรอาจแนะนำให้ลงทุนในสัดส่วนที่สูงในบางครั้ง
- **ความซับซ้อน:** สำหรับผู้เริ่มต้น Kelly Criterion อาจดูซับซ้อนและยากต่อการเข้าใจ
- การปรับปรุง Kelly Criterion สำหรับการซื้อขายจริง
เนื่องจาก Kelly Criterion ในรูปแบบพื้นฐานอาจมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับบางสถานการณ์ เทรดเดอร์หลายคนจึงปรับปรุงสูตรเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- วิธีการปรับปรุง:**
- **Fractional Kelly:** เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยการลดสัดส่วนของเงินทุนที่คำนวณได้จาก Kelly Criterion ลง ตัวอย่างเช่น Half Kelly คือการลงทุนเพียงครึ่งหนึ่งของสัดส่วนที่คำนวณได้ (f/2) หรือ Quarter Kelly คือการลงทุนหนึ่งในสี่ของสัดส่วนที่คำนวณได้ (f/4) วิธีนี้ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงในการล้มละลาย
- **Fixed Fractional Kelly:** กำหนดสัดส่วนของเงินทุนสูงสุดที่สามารถลงทุนได้ในแต่ละครั้ง เช่น กำหนดว่าไม่ว่าจะคำนวณได้เท่าไหร่ จะลงทุนไม่เกิน 10% ของเงินทุนทั้งหมด
- **Kelly Criterion with Stop-Loss:** ใช้ Stop-Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการขาดทุนในแต่ละการซื้อขาย
- กลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้ร่วมกับ Kelly Criterion
Kelly Criterion สามารถนำไปใช้ร่วมกับกลยุทธ์การซื้อขายไบนารี่ออปชั่นต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น:
- **Martingale Strategy:** กลยุทธ์ Martingale เป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มขนาดการลงทุนเป็นสองเท่าทุกครั้งที่แพ้ Kelly Criterion สามารถช่วยควบคุมขนาดการลงทุนในกลยุทธ์นี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่สูงเกินไป
- **Anti-Martingale Strategy:** กลยุทธ์ Anti-Martingale เป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มขนาดการลงทุนเมื่อชนะและลดขนาดการลงทุนเมื่อแพ้ Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนให้เหมาะสมกับความน่าจะเป็นในการชนะ
- **Trend Following Strategies:** กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม Kelly Criterion สามารถช่วยระบุขนาดการลงทุนที่เหมาะสมเมื่อเทรนด์มีความแข็งแกร่ง
- **Range Trading Strategies:** กลยุทธ์การเทรดในกรอบราคา Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนเมื่อราคาอยู่ในช่วงผันผวน
- **Bollinger Bands Strategy:** กลยุทธ์ Bollinger Bands ใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold) Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนเมื่อสัญญาณปรากฏ
- **Moving Average Crossover Strategy:** กลยุทธ์ Moving Average Crossover ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุสัญญาณการซื้อขาย Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนตามความน่าเชื่อถือของสัญญาณ
- **RSI Strategy:** กลยุทธ์ RSI ใช้ Relative Strength Index (RSI) เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนเมื่อ RSI บ่งชี้ถึงสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
- **Fibonacci Retracement Strategy:** กลยุทธ์ Fibonacci Retracement ใช้ระดับ Fibonacci Retracement เพื่อระบุแนวรับและแนวต้าน Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับ Fibonacci ที่สำคัญ
- **Pin Bar Strategy:** กลยุทธ์ Pin Bar ใช้รูปแบบ Pin Bar เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้ม Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนเมื่อรูปแบบ Pin Bar ปรากฏ
- **Engulfing Pattern Strategy:** กลยุทธ์ Engulfing Pattern ใช้รูปแบบ Engulfing Pattern เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้ม Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนเมื่อรูปแบบ Engulfing Pattern ปรากฏ
- **Harmonic Pattern Strategy:** กลยุทธ์ Harmonic Pattern ใช้รูปแบบ Harmonic Pattern เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขาย Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนเมื่อรูปแบบ Harmonic Pattern ปรากฏ
- **Ichimoku Cloud Strategy:** กลยุทธ์ Ichimoku Cloud ใช้ Ichimoku Cloud เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้าน Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนตามสัญญาณที่ Ichimoku Cloud ให้
- **Heikin Ashi Strategy:** กลยุทธ์ Heikin Ashi ใช้ Heikin Ashi charts เพื่อกรองสัญญาณรบกวนและระบุแนวโน้ม Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนเมื่อสัญญาณ Heikin Ashi ชัดเจน
- **Volume Spread Analysis (VSA):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (VSA) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขาย Kelly Criterion สามารถช่วยปรับขนาดการลงทุนตามสัญญาณ VSA
- **Order Flow Analysis:** การวิเคราะห์ Order Flow วิเคราะห์การไหลของคำสั่งซื้อขาย Kelly Criterion สามารถช่วยกำหนดขนาดการลงทุนตามสัญญาณ Order Flow
- ข้อควรระวัง
- Kelly Criterion ไม่ใช่สูตรวิเศษที่รับประกันผลกำไรเสมอไป
- การประเมินความน่าจะเป็นที่จะชนะ (p) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และอาจมีความคลาดเคลื่อนได้
- ควรปรับปรุงสูตร Kelly Criterion ให้เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ควรใช้ Kelly Criterion ร่วมกับเครื่องมือและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอื่นๆ เช่น Stop-Loss และ Take-Profit
- สรุป
Kelly Criterion เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ ไบนารี่ออปชั่น ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การใช้งาน Kelly Criterion จำเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักการพื้นฐาน การประเมินความน่าจะเป็นที่แม่นยำ และการปรับปรุงสูตรให้เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของแต่ละบุคคล
การบริหารความเสี่ยง การลงทุน การพนัน ความน่าจะเป็น สถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล การตัดสินใจ การคาดการณ์ การวิเคราะห์ตลาด การเทรด การเงิน การลงทุนระยะยาว
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
