Investopedia - Swing Trading

Investopedia – Swing Trading

Swing Trading คือ กลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นที่พยายามทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ โดยแตกต่างจากการซื้อขายแบบ Day Trading ที่ปิดสถานะภายในวันเดียวกัน และการลงทุนระยะยาวที่ถือครองสินทรัพย์เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี Swing Trading เป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก “Swing” หรือการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด

หลักการพื้นฐานของ Swing Trading

Swing Trading อาศัยการระบุแนวโน้มระยะสั้นและรูปแบบราคา (Price Pattern) เพื่อเข้าและออกจากตลาด เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะถือครองสถานะเป็นเวลาหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของ Swing ที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ เป้าหมายหลักคือการจับสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม หรือการเคลื่อนที่ของราคาที่คาดเดาได้ เพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของราคา

Swing Trading ไม่จำเป็นต้องติดตามตลาดตลอดเวลาเหมือน Day Trading ทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ที่มีงานประจำหรือมีข้อจำกัดด้านเวลา อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุน

ความแตกต่างระหว่าง Swing Trading กับกลยุทธ์อื่นๆ

| กลยุทธ์การซื้อขาย | ระยะเวลาการถือครอง | ความถี่ในการซื้อขาย | ความเสี่ยง | ความต้องการในการติดตามตลาด | |---|---|---|---|---| | Day Trading | ภายในวันเดียว | สูง | สูง | สูงมาก | | **Swing Trading** | หลายวันถึงหลายสัปดาห์ | ปานกลาง | ปานกลาง | ปานกลาง | | Position Trading | หลายเดือนถึงหลายปี | ต่ำ | ต่ำ | ต่ำ | | Scalping | ไม่กี่วินาทีถึงนาที | สูงมาก | สูงมาก | สูงมาก |

การวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการ Swing Trading

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหัวใจสำคัญของ Swing Trading เทรดเดอร์ใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดต่างๆ เพื่อระบุแนวโน้ม, รูปแบบราคา, และจุดเข้าออกที่เหมาะสม เครื่องมือที่นิยมใช้ ได้แก่:

Moving Averages (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและระดับแนวรับแนวต้าน
Relative Strength Index (RSI) (ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์): ใช้เพื่อวัดความเร็วและอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา
MACD (Moving Average Convergence Divergence): ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มและสัญญาณซื้อขาย
Fibonacci Retracements (ระดับ Fibonacci): ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น
Bollinger Bands (แถบ Bollinger): ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคาและระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold)
Candlestick Patterns (รูปแบบแท่งเทียน): ใช้เพื่อระบุรูปแบบราคาที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
Support and Resistance Levels (ระดับแนวรับและแนวต้าน): ระบุระดับราคาที่แนวโน้มมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือกลับตัว

กลยุทธ์ Swing Trading ที่นิยม

**Trend Following:** การซื้อ (Long) เมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขาย (Short) เมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง กลยุทธ์นี้อาศัยการระบุแนวโน้มที่แข็งแกร่งและถือครองสถานะจนกว่าแนวโน้มจะสิ้นสุดลง
**Range Trading:** การซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวรับ และขายเมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้าน กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับตลาดที่ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน
**Breakout Trading:** การซื้อเมื่อราคาทะลุระดับแนวต้านสำคัญ หรือขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับสำคัญ กลยุทธ์นี้อาศัยการคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหลังจากทะลุระดับสำคัญ
**Pullback Trading:** การซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงในแนวโน้มขาขึ้น (Pullback) หรือขายเมื่อราคาปรับตัวขึ้นในแนวโน้มขาลง (Rally) กลยุทธ์นี้อาศัยการคาดการณ์ว่าราคาจะกลับไปสู่แนวโน้มเดิมหลังจากปรับตัวชั่วคราว
**Gap Trading:** การซื้อหรือขายเมื่อราคาเปิดกระโดด (Gap) ขึ้นหรือลงอย่างมีนัยสำคัญ กลยุทธ์นี้อาศัยการคาดการณ์ว่าราคาจะเติมเต็มช่องว่าง (Gap Fill) หรือเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางของช่องว่าง
**Morning Star/Evening Star Pattern:** ใช้รูปแบบแท่งเทียนเพื่อบ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้ม
**Hammer/Hanging Man Pattern:** ใช้รูปแบบแท่งเทียนเพื่อบ่งชี้สัญญาณการกลับตัว
**Inside Bar Strategy:** ใช้แท่งเทียนที่มีช่วงราคาน้อยกว่าแท่งก่อนหน้าเพื่อระบุโอกาสในการซื้อขาย
**Three White Soldiers/Three Black Crows:** ใช้รูปแบบแท่งเทียนเพื่อบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม

การจัดการความเสี่ยงในการ Swing Trading

การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการ Swing Trading เนื่องจากตลาดมีความผันผวนและไม่สามารถคาดเดาได้เสมอไป เทคนิคการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:

**Stop-Loss Orders:** การตั้งคำสั่งขายอัตโนมัติเมื่อราคาลดลงถึงระดับที่กำหนด เพื่อจำกัดการขาดทุน
**Take-Profit Orders:** การตั้งคำสั่งขายอัตโนมัติเมื่อราคาเพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนด เพื่อล็อคกำไร
**Position Sizing:** การกำหนดขนาดของสถานะซื้อขายให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
**Diversification:** การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
**Risk-Reward Ratio:** การพิจารณาอัตราส่วนระหว่างกำไรที่คาดหวังและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะซื้อขาย
**Trailing Stop Loss:** ปรับระดับ Stop Loss ตามการเคลื่อนที่ของราคาเพื่อล็อคกำไรและลดความเสี่ยง

Swing Trading กับ Binary Options

Swing Trading สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการซื้อขาย Binary Options ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Binary Options มีความแตกต่างจากตลาดหุ้นและ Forex อย่างมีนัยสำคัญ Binary Options มีการจ่ายผลตอบแทนแบบคงที่ (Fixed Payout) และมีระยะเวลาหมดอายุที่กำหนด (Expiration Time)

ในการใช้ Swing Trading กับ Binary Options เทรดเดอร์จะต้องวิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบราคาเพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะขึ้นหรือลงภายในระยะเวลาที่กำหนด หากการคาดการณ์ถูกต้อง เทรดเดอร์จะได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนด หากการคาดการณ์ผิดพลาด เทรดเดอร์จะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

กลยุทธ์ที่ใช้ในการ Swing Trading กับ Binary Options ได้แก่:

**Trend Following Binary Options:** เลือก Call Option เมื่อแนวโน้มเป็นขาขึ้น และ Put Option เมื่อแนวโน้มเป็นขาลง
**Range Trading Binary Options:** เลือก Call Option เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวรับ และ Put Option เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับแนวต้าน
**Straddle Strategy:** ซื้อทั้ง Call Option และ Put Option เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคา
**Butterfly Spread:** สร้างจาก Call หรือ Put Options เพื่อจำกัดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในช่วงราคาที่จำกัด

ข้อดีและข้อเสียของ Swing Trading

| ข้อดี | ข้อเสีย | |---|---| | ไม่ต้องติดตามตลาดตลอดเวลา | มีความเสี่ยงจากการขาดทุน | | สามารถทำกำไรจากทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลง | ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค | | มีความยืดหยุ่นในการปรับกลยุทธ์ | อาจต้องใช้เวลาในการค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะสม | | สามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด | อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรระยะสั้น | | เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา | ต้องมีการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด |

สรุป

Swing Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่น่าสนใจสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาในระยะสั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการประสบความสำเร็จในการ Swing Trading การทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน กลยุทธ์ต่างๆ และข้อดีข้อเสียของ Swing Trading จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่ากลยุทธ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

Investopedia
Babypips
TradingView
StockCharts.com
Technical Analysis of the Financial Markets (หนังสือ)

ดูเพิ่ม

การซื้อขายหุ้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยง Day Trading Position Trading Scalping Moving Averages Relative Strength Index (RSI) MACD Fibonacci Retracements Bollinger Bands Candlestick Patterns Support and Resistance Levels Binary Options Trend Following Range Trading Breakout Trading Pullback Trading Gap Trading

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น