Forex Trading Strategies with Take Profit Orders
- Forex Trading Strategies with Take Profit Orders
บทนำ
การซื้อขาย Forex หรือ Foreign Exchange คือการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดโลก ซึ่งเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก การทำกำไรจากการซื้อขาย Forex สามารถทำได้หลายวิธี และหนึ่งในวิธีการที่สำคัญและขาดไม่ได้คือการใช้ Take Profit Orders หรือคำสั่งทำกำไร ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงกลยุทธ์การซื้อขาย Forex ที่ใช้ร่วมกับ Take Profit Orders เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขาย และลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน โดยเน้นสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำความเข้าใจพื้นฐานและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ทำความเข้าใจ Take Profit Orders
Take Profit Order คือคำสั่งที่ส่งไปยังโบรกเกอร์เพื่อปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่ผู้เทรดกำหนดไว้ล่วงหน้า วัตถุประสงค์หลักของ Take Profit คือการล็อคผลกำไรที่ได้จากสถานะการซื้อขายนั้นๆ โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอเพื่อรอจังหวะปิดสถานะด้วยตนเอง การใช้ Take Profit Orders มีประโยชน์หลายประการ:
- **ป้องกันการสูญเสียผลกำไร:** ราคาอาจมีการปรับตัวกลับหลังจากที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ การใช้ Take Profit ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับผลกำไรตามเป้าหมาย
- **ลดความเครียด:** ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาเพื่อรอปิดสถานะด้วยตนเอง
- **เพิ่มประสิทธิภาพ:** สามารถเปิดสถานะการซื้อขายได้หลายสถานะพร้อมกันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดจังหวะทำกำไร
กลยุทธ์การซื้อขาย Forex ที่ใช้ร่วมกับ Take Profit Orders
มีกลยุทธ์การซื้อขาย Forex มากมายที่สามารถใช้ร่วมกับ Take Profit Orders ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะมาดูตัวอย่างกลยุทธ์ที่นิยมใช้กัน:
1. Trend Following
กลยุทธ์นี้อิงตามแนวโน้มของราคา (Trend ) โดยมีสมมติฐานว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางของแนวโน้มเดิมต่อไป ผู้เทรดจะเปิดสถานะซื้อ (Long) เมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และเปิดสถานะขาย (Short) เมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง การตั้งค่า Take Profit ในกลยุทธ์นี้มักจะอิงตามระดับแนวต้าน (Resistance) หรือแนวรับ (Support) ที่สำคัญ หรือใช้ค่าตัวคูณของ Average True Range (ATR) เพื่อกำหนดระยะห่างจากจุดเริ่มต้นของสถานะ
- **ตัวอย่าง:** หากคุณสังเกตเห็นแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง คุณอาจเปิดสถานะซื้อและตั้ง Take Profit ไว้ที่ระดับแนวต้านถัดไป
2. Breakout Trading
กลยุทธ์นี้อาศัยการเคลื่อนไหวของราคาที่ทะลุผ่านระดับแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ (Breakout) ผู้เทรดจะเปิดสถานะในทิศทางของการทะลุ การตั้งค่า Take Profit ในกลยุทธ์นี้มักจะอิงตามระยะทางที่คาดว่าจะเคลื่อนที่หลังจากเกิด Breakout โดยอาจใช้หลักการของ Fibonacci Extension หรือการวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) เพื่อช่วยในการกำหนดเป้าหมาย Take Profit
- **ตัวอย่าง:** หากราคาทะลุผ่านระดับแนวต้านที่สำคัญ คุณอาจเปิดสถานะซื้อและตั้ง Take Profit ไว้ที่ระดับ Fibonacci Extension ถัดไป
3. Range Trading
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับสภาวะตลาดที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆ (Range-bound) ผู้เทรดจะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ และเปิดสถานะขายเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน การตั้งค่า Take Profit ในกลยุทธ์นี้มักจะอิงตามระยะห่างของกรอบราคา โดยอาจตั้ง Take Profit ไว้ใกล้กับขอบบนหรือขอบล่างของกรอบราคา
- **ตัวอย่าง:** หากคุณสังเกตเห็นว่าราคามีการเคลื่อนที่อยู่ในกรอบแคบๆ คุณอาจเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับและตั้ง Take Profit ไว้ใกล้กับแนวต้าน
4. Scalping
กลยุทธ์นี้เป็นการซื้อขายระยะสั้นมากๆ โดยมีเป้าหมายที่จะทำกำไรจากความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อย ผู้เทรดจะเปิดสถานะและปิดสถานะอย่างรวดเร็วเพื่อทำกำไร การตั้งค่า Take Profit ในกลยุทธ์นี้มักจะอิงตามจำนวน Pips ที่น้อยมาก เช่น 5-10 Pips การใช้ Take Profit เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งใน Scalping เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะสามารถล็อคผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว
- **ตัวอย่าง:** คุณอาจเปิดสถานะซื้อและตั้ง Take Profit ไว้ที่ 5 Pips โดยมี Stop Loss ที่ 5 Pips เช่นกัน
5. Retracement Trading
กลยุทธ์นี้อาศัยการเคลื่อนไหวของราคาที่ปรับตัวกลับ (Retracement) ในทิศทางตรงกันข้ามกับแนวโน้มหลัก ผู้เทรดจะเปิดสถานะในทิศทางของแนวโน้มหลักหลังจากที่ราคาปรับตัวกลับ การตั้งค่า Take Profit ในกลยุทธ์นี้มักจะอิงตามระดับ Fibonacci Retracement หรือแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ
- **ตัวอย่าง:** หากคุณสังเกตเห็นแนวโน้มขาขึ้นและราคาปรับตัวกลับลงมา คุณอาจเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาถึงระดับ Fibonacci Retracement ที่ 61.8% และตั้ง Take Profit ไว้ที่ระดับสูงสุดก่อนหน้า
การกำหนดระดับ Take Profit ที่เหมาะสม
การกำหนดระดับ Take Profit ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการซื้อขาย Forex ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการกำหนด Take Profit ได้แก่:
- **การวิเคราะห์ทางเทคนิค:** ใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เช่น แนวรับ/แนวต้าน, Fibonacci, Trendlines, และรูปแบบแท่งเทียนเพื่อช่วยในการกำหนดเป้าหมาย Take Profit
- **การวิเคราะห์พื้นฐาน:** พิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา
- **ความเสี่ยงที่ยอมรับได้:** กำหนดระดับ Take Profit ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- **ค่าความผันผวน:** ใช้เครื่องมือเช่น ATR เพื่อวัดค่าความผันผวนของราคา และปรับระดับ Take Profit ให้เหมาะสม
- **อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio):** พยายามตั้งค่า Take Profit ให้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนที่คาดหวังควรมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
การใช้ Stop Loss ร่วมกับ Take Profit
การใช้ Stop Loss Order ร่วมกับ Take Profit Order เป็นการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ Stop Loss จะปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ การตั้งค่า Stop Loss ที่เหมาะสมจะช่วยจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากการซื้อขายไม่เป็นไปตามแผน
| กลยุทธ์ | ระดับ Take Profit | ระดับ Stop Loss |
|---|---|---|
| Trend Following | แนวต้านถัดไป | แนวรับล่าสุด |
| Breakout Trading | Fibonacci Extension | แนวรับก่อนหน้า Breakout |
| Range Trading | ขอบบน/ล่างของกรอบราคา | ขอบล่าง/บนของกรอบราคา |
| Scalping | 5-10 Pips | 5-10 Pips |
| Retracement Trading | ระดับสูงสุดก่อนหน้า | ระดับต่ำสุดของการปรับตัวกลับ |
การปรับปรุงกลยุทธ์ด้วยการ Backtesting
ก่อนที่จะนำกลยุทธ์การซื้อขายใดๆ ไปใช้จริง ควรทำการ Backtesting หรือทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลังด้วยข้อมูลในอดีต Backtesting จะช่วยให้คุณประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์ และปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน เครื่องมือ Backtesting สามารถหาได้จากแพลตฟอร์มการซื้อขาย Forex ส่วนใหญ่
เครื่องมือและตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการกำหนด Take Profit
- **Fibonacci Retracement/Extension:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับ/แนวต้านที่อาจเป็นเป้าหมาย Take Profit
- **Pivot Points:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ
- **Moving Averages:** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มและระดับแนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก
- **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนและระบุระดับ Overbought/Oversold
- **Average True Range (ATR):** ใช้เพื่อวัดค่าความผันผวนและกำหนดระยะห่างของ Take Profit
การซื้อขายไบนารี่ออปชั่น (Binary Options) กับ Take Profit
แม้ว่าบทความนี้จะเน้นที่ Forex แต่แนวคิดเรื่อง Take Profit ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการซื้อขาย Binary Options ได้เช่นกัน ใน Binary Options Take Profit ไม่ได้หมายถึงการปิดสถานะที่ระดับราคาที่กำหนด แต่หมายถึงการปิดการซื้อขายก่อนเวลาหมดอายุเพื่อล็อคผลกำไรบางส่วน บางแพลตฟอร์ม Binary Options มีฟังก์ชันที่อนุญาตให้ผู้เทรดปิดการซื้อขายก่อนเวลาหมดอายุ
สรุป
การใช้ Take Profit Orders เป็นส่วนสำคัญของการซื้อขาย Forex ที่ประสบความสำเร็จ การกำหนดระดับ Take Profit ที่เหมาะสมและการใช้ร่วมกับ Stop Loss จะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การฝึกฝนและทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ จะช่วยให้คุณพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การซื้อขายของคุณมากที่สุด อย่าลืมศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และ จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology) เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) Risk Management Trading Psychology Candlestick Patterns Fibonacci Retracement Fibonacci Extension Moving Averages Bollinger Bands Average True Range (ATR) Trend Following Breakout Trading Range Trading Scalping Retracement Trading Backtesting Binary Options Forex Brokers Forex Platforms
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
