Forex Trading Strategies with Supply and Demand Trading
- Forex Trading Strategies with Supply and Demand Trading
บทนำ
การซื้อขาย Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ดึงดูดเทรดเดอร์จากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการซื้อขาย Forex คือการซื้อขายโดยใช้หลักการของ Supply and Demand (อุปสงค์และอุปทาน) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาเพื่อทำนายทิศทางของราคาในอนาคตได้อย่างแม่นยำ บทความนี้จะให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขาย Forex โดยใช้หลักการ Supply and Demand สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงวิธีการระบุโซน Supply และ Demand การวิเคราะห์ราคา และการบริหารความเสี่ยง
หลักการพื้นฐานของ Supply and Demand
หลักการของ Supply and Demand อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์ (Demand) ซึ่งหมายถึงความต้องการสินค้าหรือบริการ และอุปทาน (Supply) ซึ่งหมายถึงปริมาณสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ในตลาด ในตลาด Forex ราคาจะถูกกำหนดโดยสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน หากอุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ราคามีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากอุปทานสูงกว่าอุปสงค์ ราคามีแนวโน้มที่จะลดลง
ในบริบทของการซื้อขาย Forex โซน Supply และ Demand หมายถึงบริเวณบนกราฟราคาที่แสดงถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
- **Supply Zone (โซนอุปทาน):** บริเวณที่ผู้ขายมีจำนวนมากและมีความต้องการที่จะขายสินทรัพย์ที่ราคาปัจจุบัน ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะลดลง
- **Demand Zone (โซนอุปสงค์):** บริเวณที่ผู้ซื้อมีจำนวนมากและมีความต้องการที่จะซื้อสินทรัพย์ที่ราคาปัจจุบัน ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น
การระบุโซน Supply และ Demand
การระบุโซน Supply และ Demand อย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการใช้กลยุทธ์นี้ เทรดเดอร์จำเป็นต้องมองหากลุ่มของแท่งเทียน (Candlesticks) ที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีปริมาณการซื้อขายที่สูง ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากผู้ซื้อหรือผู้ขาย
- ขั้นตอนในการระบุโซน Supply และ Demand:**
1. **มองหาการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง:** มองหากลุ่มของแท่งเทียนที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง 2. **ระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของโซน:** จุดเริ่มต้นของโซนคือจุดที่ราคาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และจุดสิ้นสุดของโซนคือจุดที่การเคลื่อนไหวของราคาสิ้นสุดลง 3. **พิจารณาปริมาณการซื้อขาย:** ปริมาณการซื้อขายที่สูงในช่วงการเคลื่อนไหวของราคาแสดงให้เห็นว่ามีความสนใจจากเทรดเดอร์จำนวนมากในบริเวณนั้น 4. **ใช้กรอบเวลาที่เหมาะสม:** การระบุโซน Supply และ Demand สามารถทำได้ในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน (Timeframes) เช่น กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1), 4 ชั่วโมง (H4), หรือรายวัน (D1) การใช้กรอบเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้เทรดเดอร์ระบุโซนที่มีความสำคัญและเชื่อถือได้มากขึ้น
กลยุทธ์การซื้อขายด้วย Supply and Demand
เมื่อระบุโซน Supply และ Demand ได้แล้ว เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่แตกต่างกันเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคา
- 1. การซื้อขายเมื่อราคาเข้าใกล้ Demand Zone (Buying in Demand Zone):**
กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อ (Long) เมื่อราคาเข้าใกล้ Demand Zone โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นเมื่อเข้าสู่บริเวณที่ผู้ซื้อมีจำนวนมาก กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการซื้อเมื่อราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น (Uptrend)
- **จุดเข้าซื้อ (Entry Point):** เมื่อราคาเข้าใกล้ Demand Zone และแสดงสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) หรือรูปแบบกราฟกลับตัว (Chart Patterns)
- **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** ตั้งค่า Stop Loss ต่ำกว่า Demand Zone เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- **จุดทำกำไร (Take Profit):** ตั้งค่า Take Profit ที่ Supply Zone ถัดไป หรือตามอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่กำหนดไว้
- 2. การขายเมื่อราคาเข้าใกล้ Supply Zone (Selling in Supply Zone):**
กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการขาย (Short) เมื่อราคาเข้าใกล้ Supply Zone โดยคาดหวังว่าราคาจะลดลงเมื่อเข้าสู่บริเวณที่ผู้ขายมีจำนวนมาก กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการขายเมื่อราคาอยู่ในช่วงขาลง (Downtrend)
- **จุดเข้าขาย (Entry Point):** เมื่อราคาเข้าใกล้ Supply Zone และแสดงสัญญาณการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) หรือรูปแบบกราฟกลับตัว (Chart Patterns)
- **จุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** ตั้งค่า Stop Loss สูงกว่า Supply Zone เล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- **จุดทำกำไร (Take Profit):** ตั้งค่า Take Profit ที่ Demand Zone ถัดไป หรือตามอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ที่กำหนดไว้
- 3. การยืนยันด้วยเครื่องมือเสริม:**
เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการซื้อขาย เทรดเดอร์สามารถใช้เครื่องมือเสริมร่วมกับกลยุทธ์ Supply and Demand เช่น
- **Fibonacci Retracement:** ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ ซึ่งอาจตรงกับโซน Supply และ Demand
- **Moving Averages:** ใช้เพื่อระบุแนวโน้มของราคา และยืนยันสัญญาณการกลับตัว
- **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และระบุภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
- **Japanese Candlesticks**: การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนช่วยยืนยันการกลับตัวของราคาในบริเวณสำคัญ
การบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้กลยุทธ์ Supply and Demand
- หลักการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ:**
1. **กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม:** ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการซื้อขายแต่ละครั้ง 2. **ตั้งค่า Stop Loss เสมอ:** Stop Loss ช่วยจำกัดความเสี่ยงหากราคาเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง 3. **ใช้ Risk-Reward Ratio ที่เหมาะสม:** ควรตั้งค่า Take Profit ที่มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) อย่างน้อย 1:2 หรือสูงกว่า 4. **หลีกเลี่ยงการ Overtrading:** การซื้อขายมากเกินไปอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 5. **ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ:** ข่าวสารเศรษฐกิจสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เทรดเดอร์ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การซื้อขายตามความเหมาะสม
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้กลยุทธ์
สมมติว่าคุณกำลังวิเคราะห์กราฟราคา EUR/USD ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4) และคุณพบ Demand Zone ที่ระดับ 1.0800-1.0820 ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.0810 คุณคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นเมื่อเข้าสู่บริเวณ Demand Zone
- **จุดเข้าซื้อ:** 1.0815
- **จุดตัดขาดทุน:** 1.0790
- **จุดทำกำไร:** 1.0870
ในกรณีนี้ คุณกำลังเสี่ยง 25 pips (1.0815 - 1.0790) และมีโอกาสทำกำไร 55 pips (1.0870 - 1.0815) ซึ่งหมายความว่า Risk-Reward Ratio คือ 1:2.2
กลยุทธ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง
- **Breakout Trading**: การซื้อขายเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับสำคัญ
- **Trend Following**: การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา
- **Scalping**: การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรเล็กน้อย
- **Day Trading**: การซื้อขายภายในวันเดียว
- **Swing Trading**: การถือ Position หลายวันหรือหลายสัปดาห์
- **Price Action Trading**: การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องใช้ Indicators
- **Support and Resistance**: การระบุระดับแนวรับและแนวต้าน
- **Chart Patterns**: การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ
- **Elliott Wave Theory**: ทฤษฎีคลื่น Elliott
- **Harmonic Patterns**: รูปแบบ Harmonic
- **Ichimoku Cloud**: ระบบ Ichimoku Cloud
- **Bollinger Bands**: แถบ Bollinger
- **MACD**: ตัวบ่งชี้ MACD
- **Stochastic Oscillator**: ตัวบ่งชี้ Stochastic
- **Binary Options Trading with Supply and Demand**: การประยุกต์ใช้ Supply and Demand ในการซื้อขาย Binary Options
สรุป
การซื้อขาย Forex โดยใช้หลักการ Supply and Demand เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากความผันผวนของตลาดได้ อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์จำเป็นต้องทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของ Supply and Demand อย่างถ่องแท้ ฝึกฝนการระบุโซน Supply และ Demand อย่างแม่นยำ และบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสานกลยุทธ์นี้เข้ากับเครื่องมือเสริมและการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการซื้อขาย Forex
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
