Forex คืออะไร

1. Forex คืออะไร

Forex (Foreign Exchange) หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คือตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีความ likvid สูงที่สุดในโลก เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ตลาด Forex ไม่ได้มีสถานที่ตั้งทางกายภาพที่เฉพาะเจาะจง แต่เป็นการซื้อขายแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Trading) ผ่านเครือข่ายของธนาคาร, สถาบันการเงิน และนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก บทความนี้จะอธิบายถึง Forex อย่างละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงประวัติความเป็นมา, กลไกการทำงาน, ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน, ความเสี่ยง และวิธีการเริ่มต้นเทรด

ประวัติความเป็นมาของ Forex

รากฐานของตลาด Forex เริ่มต้นขึ้นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate) เริ่มล่มสลาย และมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว (Floating Exchange Rate) ในปี 1971 ซึ่งทำให้การซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นไปอย่างอิสระมากขึ้น

Bretton Woods System (ระบบเบรตตันวูดส์): ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ถูกสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และสิ้นสุดลงในปี 1971
การล่มสลายของระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่: เหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของตลาด Forex ในรูปแบบปัจจุบัน

ในช่วงแรก การซื้อขาย Forex เป็นการดำเนินการระหว่างธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ง่ายขึ้น ทำให้ตลาด Forex เปิดกว้างสำหรับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000

กลไกการทำงานของ Forex

การซื้อขาย Forex เป็นการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเป็นคู่ (Currency Pair) เช่น EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ) หรือ GBP/JPY (ปอนด์สเตอร์ลิง/เยนญี่ปุ่น) ราคาของคู่เงินตราจะแสดงถึงมูลค่าของเงินตราหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกเงินตราหนึ่ง

Currency Pair (คู่เงินตรา): การแสดงราคาของเงินตราหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกเงินตราหนึ่ง
Bid Price (ราคาเสนอซื้อ): ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมที่จะซื้อเงินตรา
Ask Price (ราคาเสนอขาย): ราคาที่โบรกเกอร์พร้อมที่จะขายเงินตรา
Spread (ส่วนต่างราคา): ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย

นักลงทุนจะทำกำไรจากการคาดการณ์ว่าราคาของคู่เงินตราจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด หากคาดการณ์ว่าเงินตราหนึ่งจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับอีกเงินตราหนึ่ง ก็จะทำการ “ซื้อ” (Long Position) และหากคาดการณ์ว่าเงินตราหนึ่งจะอ่อนค่าลง ก็จะทำการ “ขาย” (Short Position)

ตัวอย่างการซื้อขาย Forex
การดำเนินการ	คำอธิบาย	ผลกำไร/ขาดทุน
ซื้อ EUR/USD ที่ 1.1000	คาดการณ์ว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ	หาก EUR/USD เพิ่มขึ้นเป็น 1.1050 จะได้กำไร 50 pips
ขาย GBP/JPY ที่ 150.00	คาดการณ์ว่าปอนด์สเตอร์ลิงจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยนญี่ปุ่น	หาก GBP/JPY ลดลงเป็น 149.50 จะได้กำไร 50 pips

Pip (Percentage in Point): หน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด Forex
Leverage (อัตราทด): การใช้เงินทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมการซื้อขายในจำนวนที่มากขึ้น

ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

อัตราแลกเปลี่ยนได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ, การเมือง และจิตวิทยาของตลาด

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: ข้อมูลทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP), อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน และอัตราดอกเบี้ย มีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้นๆ

   *   GDP (Gross Domestic Product): ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
   *   อัตราเงินเฟ้อ: อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการ
   *   อัตราดอกเบี้ย: ต้นทุนของการกู้ยืมเงิน

นโยบายการเงิน: การตัดสินใจของธนาคารกลางเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
เหตุการณ์ทางการเมือง: เหตุการณ์ทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง, การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และความขัดแย้งระหว่างประเทศ สามารถส่งผลกระทบต่อค่าเงินได้
ความเชื่อมั่นของตลาด: ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจและสกุลเงินต่างๆ สามารถส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนได้

ความเสี่ยงในการเทรด Forex

การเทรด Forex มีความเสี่ยงหลายประการที่นักลงทุนควรตระหนักถึง

ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน: การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ความเสี่ยงด้าน Leverage: การใช้ Leverage สามารถเพิ่มผลกำไรได้ แต่ก็สามารถเพิ่มการขาดทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: สภาพคล่องที่ต่ำในบางคู่เงินตราอาจทำให้การเปิดหรือปิดสถานะทำได้ยาก
ความเสี่ยงด้านความผันผวน: ตลาด Forex มีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว

วิธีการเริ่มต้นเทรด Forex

1. เลือกโบรกเกอร์ Forex: เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง

   *   โบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับใบอนุญาต: โบรกเกอร์ที่ได้รับการตรวจสอบและควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแล

2. เปิดบัญชีเทรด: เปิดบัญชีเทรดกับโบรกเกอร์ที่คุณเลือก อาจมีบัญชีประเภทต่างๆ เช่น บัญชี Micro, Mini, Standard หรือ ECN

   *   บัญชี Micro: บัญชีที่มีขนาดการซื้อขายที่เล็กที่สุด เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
   *   บัญชี ECN (Electronic Communication Network): บัญชีที่เชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้บริการสภาพคล่อง

3. ดาวน์โหลดแพลตฟอร์มเทรด: ดาวน์โหลดแพลตฟอร์มเทรด เช่น MetaTrader 4 (MT4) หรือ MetaTrader 5 (MT5)

   *   MetaTrader 4 (MT4): แพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
   *   MetaTrader 5 (MT5): แพลตฟอร์มเทรดรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติม

4. เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน: เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อช่วยในการตัดสินใจเทรด

   *   การวิเคราะห์ทางเทคนิค: การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายในอดีตเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
   *   การวิเคราะห์พื้นฐาน: การวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจมีผลต่อค่าเงิน

5. ฝึกฝนการเทรดด้วยบัญชี Demo: ฝึกฝนการเทรดด้วยบัญชี Demo (บัญชีทดลอง) เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและทดสอบกลยุทธ์การเทรดของคุณ

   *   บัญชี Demo: บัญชีทดลองที่ใช้เงินจำลองในการซื้อขาย

กลยุทธ์การเทรด Forex

มีกลยุทธ์การเทรด Forex มากมายที่นักลงทุนสามารถใช้ได้

Scalping: การทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ
Day Trading: การเปิดและปิดสถานะทั้งหมดภายในวันเดียว
Swing Trading: การถือสถานะไว้หลายวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มราคา
Position Trading: การถือสถานะไว้หลายเดือนหรือหลายปีเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาว
Breakout Trading: การซื้อขายเมื่อราคาออกจากช่วงการซื้อขาย (Trading Range)
Trend Following: การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา
Fibonacci Retracement: การใช้ระดับ Fibonacci เพื่อคาดการณ์แนวรับและแนวต้าน
Moving Average Crossover: การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
Relative Strength Index (RSI): การใช้ดัชนี RSI เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
MACD (Moving Average Convergence Divergence): การใช้ MACD เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
Bollinger Bands: การใช้ Bollinger Bands เพื่อวัดความผันผวนของราคา
Elliott Wave Theory: การวิเคราะห์รูปแบบของคลื่นราคาเพื่อคาดการณ์แนวโน้ม
Price Action Trading: การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่มีตัวชี้วัดเพิ่มเติม
Harmonic Patterns: การวิเคราะห์รูปแบบของราคาที่ซับซ้อนเพื่อคาดการณ์แนวโน้ม
News Trading: การซื้อขายตามข่าวเศรษฐกิจและการเมือง

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปริมาณการซื้อขาย

การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุน Forex ใช้ในการตัดสินใจ

Volume Analysis (การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย): การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและระบุสัญญาณการกลับตัว
Chart Patterns (รูปแบบกราฟ): การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ เช่น Head and Shoulders, Double Top, Double Bottom เพื่อคาดการณ์แนวโน้ม
Support and Resistance Levels (แนวรับและแนวต้าน): การระบุแนวรับและแนวต้านเพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
Candlestick Patterns (รูปแบบแท่งเทียน): การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน เช่น Doji, Hammer, Shooting Star เพื่อคาดการณ์แนวโน้ม

สรุป

ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาด Forex จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงาน, ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน, ความเสี่ยง และกลยุทธ์การเทรดต่างๆ การฝึกฝนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะการเทรดของคุณ

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น