Display Advertising

1. 1. Display Advertising

Display Advertising หรือการโฆษณาแบบดิสเพลย์ คือ รูปแบบหนึ่งของการโฆษณาออนไลน์ที่ใช้ภาพ, วิดีโอ, หรือรูปแบบสื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ข้อความล้วนๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ การตลาดดิจิทัล และมีบทบาทอย่างมากในการสร้าง การรับรู้ของแบรนด์ และกระตุ้น การแปลง (Conversion)

1. 1. 1. ความแตกต่างจากการโฆษณาแบบอื่นๆ

การโฆษณาแบบดิสเพลย์มีความแตกต่างจากการโฆษณาแบบอื่นๆ เช่น การโฆษณาผ่านเสิร์ชเอ็นจิน (Search Engine Marketing - SEM) ซึ่งจะแสดงผลเมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้อง หรือ การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) ที่เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดลูกค้า การโฆษณาแบบดิสเพลย์จะถูกแสดงผลโดยไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้ใช้งานโดยตรง แต่จะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อมูลประชากรศาสตร์, ความสนใจ, พฤติกรรมการท่องเว็บ, และตำแหน่งที่ตั้ง

1. 1. 1. รูปแบบของการโฆษณาแบบดิสเพลย์

การโฆษณาแบบดิสเพลย์มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป:

• **Banner Ads:** รูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป คือ ป้ายโฆษณาที่มีขนาดต่างๆ กัน เช่น 728x90 (Leaderboard), 300x250 (Medium Rectangle), และ 160x600 (Wide Skyscraper)
• **Rich Media Ads:** โฆษณาที่มีลูกเล่นมากกว่า banner ads ทั่วไป เช่น มีภาพเคลื่อนไหว, วิดีโอ, หรือสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้
• **Video Ads:** โฆษณาในรูปแบบวิดีโอ ซึ่งสามารถแสดงผลได้ทั้งแบบ in-stream (เล่นก่อนหรือระหว่างวิดีโอ) และ out-stream (แสดงผลบนเว็บไซต์)
• **Native Ads:** โฆษณาที่ถูกออกแบบให้กลมกลืนกับเนื้อหาของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ทำให้ดูไม่เหมือนโฆษณา
• **Interstitial Ads:** โฆษณาเต็มหน้าจอที่ปรากฏขึ้นระหว่างการเปลี่ยนหน้าเว็บหรือการใช้งานแอปพลิเคชัน

1. 1. 1. เครือข่ายโฆษณา (Ad Networks) และ แพลตฟอร์ม

การเข้าถึงพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถทำได้ผ่านเครือข่ายโฆษณาและแพลตฟอร์มต่างๆ:

• **Google Display Network (GDN):** เครือข่ายโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจำนวนมาก
• **Yahoo Advertising:** เครือข่ายโฆษณาของ Yahoo ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก
• **Microsoft Advertising:** เครือข่ายโฆษณาของ Microsoft ซึ่งรวมถึง Bing และ MSN
• **AdRoll:** แพลตฟอร์มที่เน้นการรีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing) หรือการแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้ว
• **Criteo:** แพลตฟอร์มที่เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Advertising)

1. 1. 1. การกำหนดเป้าหมาย (Targeting)

การกำหนดเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญของการโฆษณาแบบดิสเพลย์ เพื่อให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ:

• **Demographic Targeting:** กำหนดเป้าหมายตามข้อมูลประชากรศาสตร์ เช่น อายุ, เพศ, การศึกษา, และรายได้
• **Interest Targeting:** กำหนดเป้าหมายตามความสนใจของผู้ใช้งาน เช่น กีฬา, แฟชั่น, เทคโนโลยี, และการเงิน
• **Behavioral Targeting:** กำหนดเป้าหมายตามพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้งาน เช่น ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์, การซื้อสินค้าออนไลน์, และการค้นหาข้อมูล
• **Contextual Targeting:** กำหนดเป้าหมายตามเนื้อหาของเว็บไซต์ที่โฆษณาของคุณจะแสดงผล เช่น โฆษณาเกี่ยวกับรถยนต์จะแสดงผลบนเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์
• **Remarketing:** แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้ว เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของคุณ
• **Custom Audiences:** สร้างกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง โดยอัปโหลดรายชื่อลูกค้าของคุณ หรือใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Google Analytics หรือ Facebook

1. 1. 1. การวัดผลและวิเคราะห์ (Measurement and Analytics)

การวัดผลและวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของการโฆษณาแบบดิสเพลย์ และปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น:

• **Impressions:** จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดงผล
• **Clicks:** จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานคลิกที่โฆษณาของคุณ
• **Click-Through Rate (CTR):** อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกและจำนวน impressions (Clicks / Impressions)
• **Conversions:** จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น การซื้อสินค้า, การลงทะเบียน, หรือการดาวน์โหลด
• **Conversion Rate:** อัตราส่วนระหว่างจำนวน conversions และจำนวน clicks (Conversions / Clicks)
• **Cost Per Click (CPC):** ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการคลิกหนึ่งครั้ง
• **Cost Per Acquisition (CPA):** ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่หนึ่งราย

1. 1. 1. การปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญ

การปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและทดลอง:

• **A/B Testing:** ทดสอบโฆษณาหลายรูปแบบ (เช่น รูปภาพ, ข้อความ, Call-to-Action) เพื่อดูว่ารูปแบบใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด
• **Landing Page Optimization:** ปรับปรุงหน้า landing page ที่ผู้ใช้งานจะถูกนำไปหลังจากคลิกที่โฆษณา เพื่อเพิ่มอัตราการแปลง
• **Bid Management:** ปรับปรุงการเสนอราคา (bids) เพื่อให้คุณได้รับ impressions และ clicks ในราคาที่เหมาะสม
• **Targeting Refinement:** ปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายเพื่อให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
• **Creative Refresh:** เปลี่ยนโฆษณาของคุณเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยง "banner blindness" หรือภาวะที่ผู้ใช้งานมองข้ามโฆษณา

1. 1. 1. Display Advertising กับ Binary Options

แม้ว่าการโฆษณาแบบดิสเพลย์จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเทรด ไบนารี่ออปชั่น แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการโปรโมทบริการหรือแพลตฟอร์มการเทรดไบนารี่ออปชั่นได้ อย่างไรก็ตาม การโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางการเงินมีความเสี่ยงและต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ควรเน้นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และโปร่งใสแก่ผู้ใช้งาน ไม่ควรใช้กลยุทธ์การโฆษณาที่เกินจริงหรือหลอกลวง

• • กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง:**

• Retargeting – การแสดงโฆษณาซ้ำให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
• Programmatic Advertising – การซื้อและขายพื้นที่โฆษณาโดยอัตโนมัติ
• Real-Time Bidding (RTB) – การประมูลพื้นที่โฆษณาแบบเรียลไทม์
• Viewability – การวัดว่าโฆษณาของคุณถูกมองเห็นโดยผู้ใช้งานหรือไม่
• Brand Safety – การตรวจสอบว่าโฆษณาของคุณไม่ปรากฏบนเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
• Attribution Modeling – การกำหนดว่า touchpoint ใดมีส่วนช่วยในการแปลงมากที่สุด
• Cross-Device Tracking – การติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานข้ามอุปกรณ์ต่างๆ
• Ad Fraud – การป้องกันการฉ้อโกงในการโฆษณา
• Dynamic Creative Optimization (DCO) – การปรับเปลี่ยนโฆษณาแบบไดนามิกตามข้อมูลของผู้ใช้งาน
• Lookalike Audiences – การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าปัจจุบันของคุณ
• A/B Testing – การทดสอบโฆษณาหลายรูปแบบเพื่อดูว่ารูปแบบใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด
• Heatmaps – การวิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานมองส่วนใดของหน้าเว็บมากที่สุด
• Scroll Depth – การวัดว่าผู้ใช้งานเลื่อนหน้าเว็บไปได้ไกลแค่ไหน
• Time on Page – การวัดระยะเวลาที่ผู้ใช้งานอยู่บนหน้าเว็บ
• Bounce Rate – อัตราส่วนของผู้ใช้งานที่ออกจากหน้าเว็บหลังจากเข้าชมเพียงหน้าเดียว

• • การวิเคราะห์ทางเทคนิค:**

• Google Tag Manager – เครื่องมือสำหรับจัดการแท็กการติดตาม
• Google Analytics – เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์
• Data Studio – เครื่องมือสำหรับสร้างรายงานและการแสดงผลข้อมูล

• • การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย:**

• Impression Share – สัดส่วนของ impressions ที่คุณได้รับเมื่อเทียบกับจำนวน impressions ที่คุณมีสิทธิ์ได้รับ
• Quality Score – คะแนนที่ Google กำหนดให้กับโฆษณาของคุณ
• Cost Per Mille (CPM) – ค่าใช้จ่ายต่อ impressions หนึ่งพันครั้ง

ตัวอย่างการเปรียบเทียบรูปแบบโฆษณา

รูปแบบโฆษณา	ข้อดี	ข้อเสีย	เหมาะสำหรับ
Banner Ads	ราคาถูก, สร้างความคุ้นเคย	อัตราการคลิกต่ำ, ถูกมองข้าม	สร้างการรับรู้ของแบรนด์
Rich Media Ads	ดึงดูดความสนใจ, มีปฏิสัมพันธ์	ราคาแพง, ใช้เวลาในการพัฒนา	สร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า
Video Ads	น่าสนใจ, เล่าเรื่องได้	ราคาแพง, อาจถูกข้ามไป	แสดงผลิตภัณฑ์หรือบริการ
Native Ads	กลมกลืน, ไม่รบกวน	อาจถูกมองว่าเป็นการโฆษณาแอบแฝง	สร้างความน่าเชื่อถือ
Interstitial Ads	ดึงดูดความสนใจ, เต็มหน้าจอ	รบกวนประสบการณ์ผู้ใช้งาน	โปรโมชั่นพิเศษ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นที่สนใจเกี่ยวกับการโฆษณาแบบดิสเพลย์ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลย

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น