CFD คืออะไร
- CFD คืออะไร
CFD (Contract for Difference) หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง คือ ตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงตลาดต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ CFD สำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงหลักการทำงาน ความเสี่ยง และข้อดีข้อเสียต่างๆ
CFD ทำงานอย่างไร
CFD เป็นข้อตกลงระหว่างนักลงทุนและโบรกเกอร์ โดยไม่ได้มีการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงจริง (เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, หรือสกุลเงิน) นักลงทุนจะทำสัญญาเพื่อซื้อหรือขายส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิงนั้นๆ หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนจะได้รับผลกำไรตามส่วนต่างของราคา แต่หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม นักลงทุนจะขาดทุน
ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาหุ้นบริษัท A จะสูงขึ้น นักลงทุนจะเปิดสถานะซื้อ (Long) CFD ของหุ้นบริษัท A หากราคาหุ้น A เพิ่มขึ้นจาก 100 บาท เป็น 105 บาท นักลงทุนจะได้รับผลกำไร 5 บาทต่อหุ้น (หักค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว) แต่หากราคาหุ้น A ลดลงเป็น 95 บาท นักลงทุนจะขาดทุน 5 บาทต่อหุ้น
สินทรัพย์อ้างอิงของ CFD
CFD สามารถซื้อขายได้ในหลากหลายสินทรัพย์อ้างอิง ได้แก่:
- หุ้น (Stocks): อนุญาตให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของหุ้นจริง การลงทุนในหุ้น
- ดัชนี (Indices): เช่น S&P 500, FTSE 100, Nikkei 225 ซึ่งเป็นการลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น ทองคำ, น้ำมันดิบ, กาแฟ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์
- สกุลเงิน (Forex): เช่น EUR/USD, GBP/JPY ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies): เช่น Bitcoin, Ethereum สกุลเงินดิจิทัล
Leverage (การใช้เลเวอเรจ)
หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของ CFD คือการใช้เลเวอเรจ (Leverage) หรือ การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดของการซื้อขาย เลเวอเรจช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมสัญญา CFD ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่มีอยู่ได้มาก
ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:10 และนักลงทุนมีเงินทุน 10,000 บาท นักลงทุนสามารถเปิดสถานะ CFD ที่มีมูลค่าสูงสุด 100,000 บาทได้
แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ การขาดทุนก็จะถูกขยายออกไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น การใช้เลเวอเรจจึงควรทำด้วยความระมัดระวังและเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
Margin (เงินมาร์จิน)
Margin หรือ เงินมาร์จิน คือ จำนวนเงินที่นักลงทุนต้องฝากไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะ CFD เงินมาร์จินเป็นหลักประกันความเสี่ยงสำหรับโบรกเกอร์ หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และเงินทุนในบัญชีของนักลงทุนลดลงต่ำกว่าระดับ Margin Call โบรกเกอร์มีสิทธิ์ที่จะปิดสถานะ CFD ของนักลงทุนโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากขึ้น
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย
การซื้อขาย CFD เกี่ยวข้องกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้:
- Spread (ส่วนต่างราคา): คือ ความแตกต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ของ CFD
- Commission (ค่าคอมมิชชั่น): บางโบรกเกอร์เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมสำหรับการซื้อขาย CFD
- Overnight Funding Fee (ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน): หากนักลงทุนถือครองสถานะ CFD ข้ามคืน จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืนให้กับโบรกเกอร์
- Currency Conversion Fee (ค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน): หากนักลงทุนซื้อขาย CFD ในสกุลเงินที่แตกต่างจากสกุลเงินในบัญชีของตน อาจมีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน
ข้อดีของ CFD
- เข้าถึงตลาดหลากหลาย: CFD ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดต่างๆ ทั่วโลกได้ง่ายดาย
- Leverage สูง: เลเวอเรจช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- Short Selling ง่าย: CFD ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งจากราคาที่สูงขึ้นและราคาที่ลดลง (Short Selling) การขายชอร์ต
- ความยืดหยุ่น: CFD มีความยืดหยุ่นในการซื้อขายและสามารถปรับขนาดของการซื้อขายได้ง่าย
- ต้นทุนต่ำ: โดยทั่วไปแล้ว ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย CFD จะต่ำกว่าการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงจริง
ข้อเสียของ CFD
- ความเสี่ยงสูง: เลเวอเรจสูงเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุน
- ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน: การถือครองสถานะ CFD ข้ามคืนอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ความผันผวนของตลาด: ตลาดการเงินมีความผันผวน และราคา CFD สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
- ความซับซ้อน: CFD เป็นตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่มีความซับซ้อน และนักลงทุนควรมีความเข้าใจในหลักการทำงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
กลยุทธ์การซื้อขาย CFD
มีกลยุทธ์การซื้อขาย CFD มากมายที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้ ขึ้นอยู่กับสไตล์การซื้อขายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ตัวอย่างกลยุทธ์ที่นิยมใช้ ได้แก่:
- Scalping: การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาเล็กน้อย Scalping
- Day Trading: การซื้อขายภายในวันเดียว และปิดสถานะทั้งหมดก่อนสิ้นวัน Day Trading
- Swing Trading: การถือครองสถานะ CFD เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มของราคา Swing Trading
- Position Trading: การถือครองสถานะ CFD เป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปีเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาว Position Trading
- Breakout Trading: การซื้อขายเมื่อราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ Breakout Trading
- Trend Following: การซื้อขายตามแนวโน้มของราคา Trend Following
- Mean Reversion: การซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าราคาจะกลับสู่ค่าเฉลี่ย Mean Reversion
- Fibonacci Retracement: การใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุจุดเข้าซื้อและจุดขาย Fibonacci Retracement
- Moving Average Crossover: การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุสัญญาณซื้อและขาย Moving Average Crossover
- Bollinger Bands: การใช้ Bollinger Bands เพื่อวัดความผันผวนของราคา Bollinger Bands
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): การใช้ MACD เพื่อระบุแนวโน้มและโมเมนตัมของราคา MACD
- RSI (Relative Strength Index): การใช้ RSI เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม RSI
- Stochastic Oscillator: การใช้ Stochastic Oscillator เพื่อระบุสภาวะ Overbought และ Oversold Stochastic Oscillator
- Elliott Wave Theory: การวิเคราะห์รูปแบบของราคาตามทฤษฎี Elliott Wave Elliott Wave Theory
- Harmonic Patterns: การระบุรูปแบบ Harmonic เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคา Harmonic Patterns
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
การตัดสินใจซื้อขาย CFD ควรมาจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ โดยใช้วิธีการต่างๆ ดังนี้:
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): การศึกษาแผนภูมิราคาและใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น แนวรับ, แนวต้าน, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, และ Indicators เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนที่ของราคา การวิเคราะห์ทางเทคนิค
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis): การศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจ, การเงิน, และอุตสาหกรรม เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์อ้างอิง การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis): การศึกษาปริมาณการซื้อขายเพื่อยืนยันแนวโน้มและสัญญาณต่างๆ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
การบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการซื้อขาย CFD เพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป วิธีการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- Stop-Loss Order: การตั้งคำสั่ง Stop-Loss เพื่อปิดสถานะ CFD โดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- Take-Profit Order: การตั้งคำสั่ง Take-Profit เพื่อปิดสถานะ CFD โดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่ต้องการ
- Risk-Reward Ratio: การกำหนดอัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง
- Position Sizing: การกำหนดขนาดของการซื้อขายที่เหมาะสมกับเงินทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- Diversification: การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม
ข้อควรระวัง
- ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: ก่อนที่จะเริ่มซื้อขาย CFD นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ CFD และตลาดการเงินอย่างละเอียด
- เริ่มต้นด้วยบัญชี Demo: ฝึกฝนการซื้อขาย CFD ด้วยบัญชี Demo ก่อนที่จะใช้เงินจริง
- ทำความเข้าใจความเสี่ยง: ตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย CFD และลงทุนเฉพาะเงินที่คุณสามารถเสียได้
- เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์ CFD ที่ได้รับการควบคุมจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้
- มีแผนการซื้อขาย: กำหนดแผนการซื้อขายที่ชัดเจนและปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด
สรุป
CFD เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงตลาดต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม CFD มีความเสี่ยงสูง และนักลงทุนควรมีความเข้าใจในหลักการทำงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะเริ่มซื้อขาย การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบและการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จในการซื้อขาย CFD
การลงทุน อนุพันธ์ทางการเงิน ตลาดทุน การบริหารเงิน การวางแผนทางการเงิน
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
