Audio compression
- Audio Compression
Audio compression คือกระบวนการลดขนาดไฟล์เสียง โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ลดแบนด์วิดท์ในการส่งข้อมูล และอำนวยความสะดวกในการจัดการไฟล์เสียง การบีบอัดเสียงมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลเสียงมีปริมาณมหาศาล ตั้งแต่เพลง ภาพยนตร์ ไปจนถึงเสียงพูดและการบันทึกเสียงต่างๆ บทความนี้จะอธิบายหลักการพื้นฐาน ประเภทของการบีบอัดเสียง เทคนิคต่างๆ และผลกระทบต่อคุณภาพเสียงสำหรับผู้เริ่มต้น
หลักการพื้นฐานของการบีบอัดเสียง
การบีบอัดเสียงทำงานโดยการลดข้อมูลที่ไม่จำเป็นหรือข้อมูลซ้ำซ้อนในสัญญาณเสียง สิ่งนี้ทำได้โดยใช้เทคนิคต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:
- การบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล (Lossless Compression): วิธีนี้จะลดขนาดไฟล์โดยไม่สูญเสียข้อมูลใดๆ เมื่อคลายไฟล์ (decompress) จะได้สัญญาณเสียงที่เหมือนกับต้นฉบับทุกประการ แม้ว่าขนาดไฟล์จะเล็กลง แต่ก็ยังคงมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ที่บีบอัดแบบสูญเสียข้อมูล เหมาะสำหรับไฟล์เสียงที่ต้องการคุณภาพสูงสุด เช่น การเก็บถาวรไฟล์เสียงต้นฉบับ หรือการใช้งานในสตูดิโอเสียง ตัวอย่างรูปแบบไฟล์ที่ใช้การบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล ได้แก่ FLAC (Free Lossless Audio Codec), ALAC (Apple Lossless Audio Codec) และ WAV (Waveform Audio File Format) แบบบีบอัด
- การบีบอัดแบบสูญเสียข้อมูล (Lossy Compression): วิธีนี้จะลดขนาดไฟล์โดยการลบข้อมูลบางส่วนที่ถือว่าไม่สำคัญต่อการรับรู้ของมนุษย์ เมื่อคลายไฟล์ จะได้สัญญาณเสียงที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับ แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด การบีบอัดแบบสูญเสียข้อมูลสามารถลดขนาดไฟล์ได้อย่างมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การสตรีมเพลง การดาวน์โหลดเพลง และการจัดเก็บเพลงจำนวนมากในอุปกรณ์พกพา ตัวอย่างรูปแบบไฟล์ที่ใช้การบีบอัดแบบสูญเสียข้อมูล ได้แก่ MP3 (MPEG-1 Audio Layer III), AAC (Advanced Audio Coding) และ Opus
ประเภทของการบีบอัดเสียง
นอกเหนือจากการแบ่งตามลักษณะการสูญเสียข้อมูลแล้ว การบีบอัดเสียงยังสามารถแบ่งตามเทคนิคที่ใช้ได้ดังนี้:
- การเข้ารหัสเชิงอนุพันธ์ (Differential Encoding): เทคนิคนี้จะบันทึกความแตกต่างระหว่างค่าสัญญาณเสียงต่อเนื่อง แทนที่จะบันทึกค่าสัญญาณเสียงทั้งหมด ซึ่งช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัญญาณเสียงที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย เช่น เสียงพูด
- การเข้ารหัสความถี่ (Frequency Encoding): เทคนิคนี้จะวิเคราะห์สัญญาณเสียงในโดเมนความถี่ (Frequency domain) และลดข้อมูลที่ไม่จำเป็นในบางย่านความถี่ โดยอาศัยหลักการ Psychoacoustics ที่ศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้เสียงของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การลดความถี่ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินได้ชัดเจน
- การเข้ารหัสเวฟเล็ต (Wavelet Encoding): เทคนิคนี้คล้ายกับการเข้ารหัสความถี่ แต่ใช้ฟังก์ชันเวฟเล็ต (Wavelet function) แทนที่จะใช้ Fourier transform ซึ่งให้ความละเอียดที่ดีกว่าในการวิเคราะห์สัญญาณเสียงที่ไม่คงที่
- การเข้ารหัสเชิงเส้นทำนาย (Linear Predictive Coding - LPC): เทคนิคนี้ใช้ในการบีบอัดเสียงพูด โดยประมาณค่าสัญญาณเสียงในอนาคตจากค่าสัญญาณเสียงในอดีต ซึ่งช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องจัดเก็บ
เทคนิคการบีบอัดเสียงที่สำคัญ
- MP3 (MPEG-1 Audio Layer III): เป็นรูปแบบการบีบอัดเสียงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ใช้การเข้ารหัสความถี่และเทคนิคต่างๆ เพื่อลดขนาดไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีขนาดไฟล์ที่เล็ก แต่คุณภาพเสียงอาจลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อใช้ bitrate ต่ำ
- AAC (Advanced Audio Coding): เป็นรูปแบบการบีบอัดเสียงที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ MP3 ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าที่ bitrate เท่ากัน หรือมีขนาดไฟล์ที่เล็กลงที่คุณภาพเสียงเท่ากัน ใช้กันอย่างแพร่หลายในการสตรีมเพลงและในผลิตภัณฑ์ของ Apple
- Opus:** เป็นรูปแบบการบีบอัดเสียงที่ออกแบบมาสำหรับการสตรีมเสียงแบบเรียลไทม์และสำหรับการสื่อสารด้วยเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP) ให้คุณภาพเสียงที่ดีมากที่ bitrate ต่ำ และมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งพารามิเตอร์การบีบอัด
- FLAC (Free Lossless Audio Codec): เป็นรูปแบบการบีบอัดเสียงแบบไม่สูญเสียข้อมูลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ที่ต้องการคุณภาพเสียงสูงสุด สามารถลดขนาดไฟล์ได้ประมาณ 50-60% โดยไม่สูญเสียข้อมูลใดๆ
- ALAC (Apple Lossless Audio Codec): เป็นรูปแบบการบีบอัดเสียงแบบไม่สูญเสียข้อมูลที่พัฒนาโดย Apple คล้ายกับ FLAC แต่ได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีบนอุปกรณ์ Apple
ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพเสียงที่ถูกบีบอัด
- Bitrate: คือปริมาณข้อมูลที่ใช้ในการเข้ารหัสเสียงต่อวินาที วัดเป็นกิโลบิตต่อวินาที (kbps) ยิ่ง bitrate สูงขึ้น คุณภาพเสียงก็จะยิ่งดีขึ้น แต่ขนาดไฟล์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นด้วย
- Sample Rate: คือจำนวนครั้งที่สัญญาณเสียงถูกสุ่มตัวอย่าง (sample) ต่อวินาที วัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ยิ่ง sample rate สูงขึ้น ความถี่สูงสุดที่สามารถบันทึกได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น และคุณภาพเสียงก็จะยิ่งดีขึ้น
- Number of Channels: คือจำนวนช่องสัญญาณเสียง เช่น สเตอริโอ (2 ช่อง) หรือโมโน (1 ช่อง) สเตอริโอให้ประสบการณ์การฟังที่สมจริงกว่า แต่ต้องการ bitrate ที่สูงกว่า
- Codec Algorithm: อัลกอริทึมการบีบอัดที่ใช้มีผลต่อคุณภาพเสียงอย่างมาก Codec ที่แตกต่างกันจะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันในการลดขนาดไฟล์ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน
การใช้งานการบีบอัดเสียงในบริบทต่างๆ
- การสตรีมเพลง: บริการสตรีมเพลงเช่น Spotify, Apple Music และ YouTube Music ใช้การบีบอัดเสียงแบบสูญเสียข้อมูล (โดยทั่วไปคือ AAC หรือ Opus) เพื่อลดขนาดไฟล์และลดแบนด์วิดท์ในการสตรีม
- การจัดเก็บเพลง: ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะบีบอัดเพลงในคอลเล็กชันของตนเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ โดยสามารถเลือกใช้การบีบอัดแบบสูญเสียข้อมูล (เช่น MP3) หรือการบีบอัดแบบไม่สูญเสียข้อมูล (เช่น FLAC) ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านคุณภาพเสียงและพื้นที่จัดเก็บ
- การบันทึกเสียง: การบีบอัดเสียงถูกใช้ในการบันทึกเสียงเพื่อลดขนาดไฟล์และอำนวยความสะดวกในการแก้ไขและแชร์ไฟล์เสียง
- การสื่อสารด้วยเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP): การบีบอัดเสียงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสื่อสารด้วยเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อลดแบนด์วิดท์ที่ต้องใช้ในการส่งสัญญาณเสียงแบบเรียลไทม์
การบีบอัดเสียงและการวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดไบนารี่ออปชั่น
แม้ว่าการบีบอัดเสียงโดยตรงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น แต่ความเข้าใจในเทคโนโลยีเสียงและการจัดการข้อมูลสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น:
- การวิเคราะห์ความถี่ (Frequency Analysis): การวิเคราะห์ความถี่ของสัญญาณเสียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เช่น การวิเคราะห์รูปแบบราคา (price patterns) ในกราฟ Candlestick หรือการระบุแนวโน้ม (trends) ในตลาด
- การลดสัญญาณรบกวน (Noise Reduction): เทคนิคการลดสัญญาณรบกวนที่ใช้ในการบีบอัดเสียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การกำจัดข้อมูลที่ผิดพลาด หรือการลดผลกระทบของความผันผวนของตลาด
- การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Management): ความเข้าใจในเทคนิคการบีบอัดข้อมูลสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด เช่น ข้อมูลราคา ข้อมูลปริมาณการซื้อขาย และข้อมูลตัวชี้วัดทางเทคนิค (technical indicators)
- การพัฒนาอัลกอริทึมการซื้อขาย (Trading Algorithm Development): การพัฒนาอัลกอริทึมการซื้อขายที่ซับซ้อนต้องอาศัยความเข้าใจในเทคนิคการประมวลผลสัญญาณและการจัดการข้อมูล ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเทคนิคที่ใช้ในการบีบอัดเสียง
กลยุทธ์การเทรดที่เกี่ยวข้อง
- Trend Following: การบีบอัดข้อมูลสามารถช่วยในการระบุแนวโน้มที่ชัดเจนในข้อมูลราคา
- Mean Reversion: การกรองสัญญาณรบกวนสามารถช่วยในการระบุจุดที่ราคาอาจกลับสู่ค่าเฉลี่ย
- Breakout Trading: การวิเคราะห์ความถี่สามารถช่วยในการระบุรูปแบบการ breakout ที่อาจเกิดขึ้น
- Scalping: การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเทรดแบบ Scalping
- Arbitrage: การบีบอัดข้อมูลสามารถช่วยในการประมวลผลข้อมูลราคาจากหลายแหล่งได้อย่างรวดเร็ว
ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง
- Moving Averages: ช่วยในการระบุแนวโน้ม
- Relative Strength Index (RSI): ช่วยในการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): ช่วยในการระบุสัญญาณซื้อขาย
- Bollinger Bands: ช่วยในการวัดความผันผวนของตลาด
- Fibonacci Retracements: ช่วยในการระบุระดับแนวรับและแนวต้าน
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย
- Volume Spread Analysis (VSA): การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการซื้อขายและช่วงราคา
- On-Balance Volume (OBV): ช่วยในการวัดแรงกดดันในการซื้อขาย
- Accumulation/Distribution Line: ช่วยในการระบุการสะสมหรือการกระจายตัวของสินทรัพย์
สรุป
การบีบอัดเสียงเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการจัดการข้อมูลเสียงในยุคดิจิทัล การทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน ประเภทของเทคนิค และปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพเสียงจะช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีการบีบอัดเสียงที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณได้ แม้ว่าการบีบอัดเสียงโดยตรงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น แต่ความเข้าใจในเทคนิคการประมวลผลสัญญาณและการจัดการข้อมูลก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดและการพัฒนาอัลกอริทึมการซื้อขายได้
Digital audio Audio codec Psychoacoustics Lossless data compression Lossy data compression MP3 AAC Opus FLAC ALAC Bitrate Sample rate Audio engineering Signal processing Data compression Frequency domain Time domain Wavelet transform Linear predictive coding Audio file format Sound recording Digital signal processing
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
