Android Version History

1. 1. ประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการ Android

ระบบปฏิบัติการ Android เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก พัฒนาโดย Android Inc. และภายหลังถูกซื้อโดย Google ในปี 2005 นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 Android ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการเปิดตัว เวอร์ชัน Android ต่างๆ แต่ละเวอร์ชันนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการแก้ไขข้อบกพร่อง บทความนี้จะสำรวจประวัติศาสตร์ของระบบปฏิบัติการ Android อย่างละเอียด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงเวอร์ชันล่าสุด โดยจะเน้นถึงคุณสมบัติหลัก การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และผลกระทบต่อตลาด อุปกรณ์เคลื่อนที่

จุดเริ่มต้นและ Android 1.0 – 1.1

เรื่องราวของ Android เริ่มต้นขึ้นในปี 2003 เมื่อ Andy Rubin, Rich Miner, Nick Sears และ Chris White ก่อตั้ง Android Inc. ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนา ระบบปฏิบัติการ ที่ล้ำสมัยสำหรับกล้องดิจิทัล แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป้าหมายไปที่ตลาด สมาร์ทโฟน ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2005 Google ได้เข้าซื้อ Android Inc. และ Andy Rubin ได้กลายเป็นหัวหน้าฝ่าย Android ภายใน Google

Android 1.0 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “Astro” ถูกเปิดตัวในเดือนกันยายน 2008 พร้อมกับ โทรศัพท์มือถือ รุ่นแรกที่ใช้ Android คือ HTC Dream (หรือ T-Mobile G1 ในบางตลาด) เวอร์ชันนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา และมีคุณสมบัติพื้นฐาน เช่น เว็บเบราว์เซอร์, แผนที่ Google, Gmail และ Android Market (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น Google Play Store)

Android 1.1 ซึ่งเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 1.0 โดยเพิ่มคุณสมบัติบางอย่าง เช่น การค้นหาบนเว็บใน Android Market และการรองรับโครงสร้างข้อมูล JSON

Android 1.5 Cupcake – 1.6 Donut

Android 1.5 “Cupcake” (เมษายน 2009) เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา Android นำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ ที่สำคัญ เช่น แป้นพิมพ์บนหน้าจอ แบบ QWERTY, การบันทึกวิดีโอ และการรองรับ วิดเจ็ต บนหน้าจอหลัก ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว

Android 1.6 “Donut” (กันยายน 2009) เพิ่มคุณสมบัติที่เน้นการค้นหาและการเชื่อมต่อเครือข่าย รวมถึงการรองรับเทคโนโลยี CDMA, การค้นหาด้วยเสียง และการปรับปรุง Android Market ให้ใช้งานง่ายขึ้น

Android 2.0 – 2.3 Gingerbread

Android 2.0 – 2.1 “Eclair” (ตุลาคม 2009 – มกราคม 2010) นำเสนอการรองรับบัญชีผู้ใช้หลายบัญชี, การบันทึกวิดีโอแบบ HD และการปรับปรุง UI ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

Android 2.2 “Froyo” (พฤษภาคม 2010) เป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างมาก โดยใช้ Dalvik virtual machine ที่ได้รับการปรับปรุงให้เร็วขึ้น และเพิ่มคุณสมบัติสำคัญ เช่น การรองรับ Adobe Flash, การผูกข้อมูล (data binding) และการรองรับ USB tethering

Android 2.3 “Gingerbread” (ธันวาคม 2010) นำเสนอ UI ที่ปรับปรุงใหม่, การรองรับ NFC (Near Field Communication) และการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น Gingerbread ยังเป็นเวอร์ชันที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และถูกใช้งานบนอุปกรณ์ Android จำนวนมาก

Android 3.0 – 3.2 Honeycomb

Android 3.0 “Honeycomb” (กุมภาพันธ์ 2011) เป็นเวอร์ชันแรกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ แท็บเล็ต มี UI ที่ปรับให้เหมาะกับหน้าจอขนาดใหญ่ และนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Action Bar และการรองรับโปรเซสเซอร์หลายคอร์

Android 3.1 – 3.2 “Honeycomb” (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2011) เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 3.0 โดยเพิ่มคุณสมบัติ เช่น การรองรับอุปกรณ์ USB และการปรับปรุง UI ให้ใช้งานง่ายขึ้น

Android 4.0 – 4.4 KitKat

Android 4.0 “Ice Cream Sandwich” (ตุลาคม 2011) เป็นการรวมคุณสมบัติที่ดีที่สุดจากทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต มี UI ที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย และนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Face Unlock และ Android Beam

Android 4.1 – 4.3 “Jelly Bean” (กรกฎาคม 2012 – กรกฎาคม 2013) มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพและความลื่นไหลของระบบ รวมถึงการนำเสนอ Google Now ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ

Android 4.4 “KitKat” (ตุลาคม 2013) ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด มีการปรับปรุง หน่วยความจำ และ การจัดการพลังงาน ให้ดีขึ้น และนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การพิมพ์ข้อความโดยใช้เสียง

Android 5.0 – 5.1 Lollipop

Android 5.0 “Lollipop” (พฤศจิกายน 2014) นำเสนอ Material Design ซึ่งเป็นภาษาการออกแบบใหม่ที่เน้นความสวยงามและความเรียบง่าย มีการปรับปรุง การแจ้งเตือน และ การตั้งค่า ให้ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มคุณสมบัติ เช่น ART runtime ซึ่งช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้เร็วขึ้น

Android 5.1 “Lollipop” (มีนาคม 2015) เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 5.0 โดยแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การรองรับ SIM หลายใบ

Android 6.0 – 6.0.1 Marshmallow

Android 6.0 “Marshmallow” (ตุลาคม 2015) นำเสนอการจัดการสิทธิ์แอปพลิเคชันที่ละเอียดมากขึ้น ผู้ใช้สามารถควบคุมสิทธิ์ที่แอปพลิเคชันเข้าถึงได้ และเพิ่มคุณสมบัติ เช่น Doze mode ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่เมื่ออุปกรณ์ไม่ได้ใช้งาน

Android 6.0.1 “Marshmallow” (ธันวาคม 2015) เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 6.0 โดยแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การรองรับอีโมจิใหม่ๆ

Android 7.0 – 7.1.2 Nougat

Android 7.0 “Nougat” (สิงหาคม 2016) นำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Multitasking แบบ split-screen, Quick Reply และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ

Android 7.1 – 7.1.2 “Nougat” (ตุลาคม 2016 – เมษายน 2017) เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 7.0 โดยแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การรองรับ Vulkan API

Android 8.0 – 8.1 Oreo

Android 8.0 “Oreo” (สิงหาคม 2017) นำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Picture-in-Picture, Notification Channels และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ

Android 8.1 “Oreo” (ธันวาคม 2017) เป็นการปรับปรุงเล็กน้อยจากเวอร์ชัน 8.0 โดยแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การรองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังของอุปกรณ์

Android 9 Pie

Android 9 “Pie” (สิงหาคม 2018) นำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Adaptive Battery, Adaptive Brightness และ App Actions ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันและฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

Android 10

Android 10 (กันยายน 2019) เป็นเวอร์ชันแรกที่ไม่มีชื่อรหัสขนมหวาน มีการปรับปรุง ความเป็นส่วนตัว และ ความปลอดภัย อย่างมาก และนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Dark theme และการควบคุมการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่ละเอียดมากขึ้น

Android 11 – 14

Android 11 (กันยายน 2020) เน้นที่การจัดการการสนทนา, การควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม และการปรับปรุงความเป็นส่วนตัว

Android 12 (ตุลาคม 2021) นำเสนอ Material You ซึ่งเป็นภาษาการออกแบบใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้ตามความชอบของผู้ใช้ และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ

Android 13 (สิงหาคม 2022) มุ่งเน้นไปที่ความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัย และการปรับแต่ง UI ให้ละเอียดมากขึ้น

Android 14 (ตุลาคม 2023) เป็นเวอร์ชันล่าสุด ปรับปรุงเรื่องความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัว, และประสิทธิภาพการทำงานของระบบ

ตารางสรุปเวอร์ชัน Android

สรุปเวอร์ชัน Android

เวอร์ชัน	ชื่อรหัส	วันที่เปิดตัว	คุณสมบัติหลัก
1.0	Astro	กันยายน 2008	เว็บเบราว์เซอร์, แผนที่ Google, Gmail
1.5	Cupcake	เมษายน 2009	แป้นพิมพ์บนหน้าจอ, การบันทึกวิดีโอ, วิดเจ็ต
1.6	Donut	กันยายน 2009	การค้นหาด้วยเสียง, การรองรับ CDMA
2.3	Gingerbread	ธันวาคม 2010	UI ที่ปรับปรุงใหม่, การรองรับ NFC
4.0	Ice Cream Sandwich	ตุลาคม 2011	Face Unlock, Android Beam
4.4	KitKat	ตุลาคม 2013	การจัดการหน่วยความจำที่ดีขึ้น, Doze mode
5.0	Lollipop	พฤศจิกายน 2014	Material Design, ART runtime
6.0	Marshmallow	ตุลาคม 2015	การจัดการสิทธิ์แอปพลิเคชันที่ละเอียดมากขึ้น
7.0	Nougat	สิงหาคม 2016	Multitasking แบบ split-screen, Quick Reply
8.0	Oreo	สิงหาคม 2017	Picture-in-Picture, Notification Channels
9	Pie	สิงหาคม 2018	Adaptive Battery, Adaptive Brightness
10	-	กันยายน 2019	Dark theme, การควบคุมความเป็นส่วนตัวที่ละเอียดมากขึ้น
11	-	กันยายน 2020	การจัดการการสนทนา, การควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม
12	-	ตุลาคม 2021	Material You
13	-	สิงหาคม 2022	การปรับปรุงความเป็นส่วนตัวและ UI
14	-	ตุลาคม 2023	การปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

บทสรุป

ระบบปฏิบัติการ Android ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ละเวอร์ชันนำเสนอคุณสมบัติใหม่ๆ และการปรับปรุงที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของ Android จะช่วยให้เราเข้าใจถึงวิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการนี้ และคาดการณ์ถึงแนวโน้มในอนาคตได้

การวิเคราะห์ทางเทคนิค ของแต่ละเวอร์ชัน Android สามารถช่วยให้เข้าใจถึงความแตกต่างของประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้ การวิเคราะห์ ปริมาณการซื้อขาย ของอุปกรณ์ที่ใช้ Android แต่ละเวอร์ชันก็สามารถบ่งบอกถึงความนิยมและแนวโน้มของตลาดได้ การใช้ กลยุทธ์การเทรด ที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ Android ที่แตกต่างกันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในตลาด ไบนารี่ออปชั่น และตลาดการเงินอื่นๆ

การจัดการความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนในตลาดไบนารี่ออปชั่น การใช้ เครื่องมือวิเคราะห์ ที่เหมาะสม และการติดตาม แนวโน้มของตลาด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ การใช้ ตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Averages, RSI, และ MACD สามารถช่วยในการตัดสินใจซื้อขายได้ การเรียนรู้ รูปแบบแท่งเทียน ต่างๆ ก็เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาด การใช้ กลยุทธ์ Straddle, กลยุทธ์ Butterfly, และ กลยุทธ์ Call/Put Option สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้ การทำความเข้าใจ ความผันผวนของตลาด และ การวิเคราะห์ความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนในตลาดไบนารี่ออปชั่น

การลงทุนระยะยาว ในบริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนา Android เช่น Google สามารถเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจได้ การวิเคราะห์ งบการเงิน และ อัตราส่วนทางการเงิน ของบริษัทเหล่านี้สามารถช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้ การติดตาม ข่าวสารทางการเงิน และ การวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยให้เราเข้าใจถึงแนวโน้มของตลาดและโอกาสในการลงทุน

การกระจายความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้ การใช้ เครื่องมือจัดการพอร์ต สามารถช่วยในการติดตามและปรับปรุงพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น