ตัวชี้วัดตามหลัง
- ตัวชี้วัดตามหลัง (Lagging Indicator) ในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น
ตัวชี้วัดตามหลัง หรือ Lagging Indicator เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้ในการซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น และตลาดการเงินอื่นๆ ที่อาศัยข้อมูลในอดีตเพื่อบ่งชี้แนวโน้มในปัจจุบันหรืออนาคต ต่างจาก ตัวชี้วัดนำหน้า (Leading Indicator) ที่พยายามคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคา ตัวชี้วัดตามหลังจะยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้เหมาะสำหรับการระบุจุดเข้าหรือออกจากตลาดหลังจากที่แนวโน้มนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย ประเภท ข้อดี ข้อเสีย และวิธีการใช้งานตัวชี้วัดตามหลังอย่างมีประสิทธิภาพในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
ความหมายของตัวชี้วัดตามหลัง
ตัวชี้วัดตามหลังถูกเรียกว่า “ตามหลัง” เพราะค่าของมันจะเปลี่ยนแปลงตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (underlying asset) ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่ได้พยายามคาดการณ์ราคาในอนาคต แต่จะช่วยยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้วและให้สัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของราคา ตัวชี้วัดตามหลังมักจะถูกใช้ร่วมกับ ตัวชี้วัดนำหน้า และ ตัวชี้วัดร่วมสมัย (Concurrent Indicator) เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นของการเคลื่อนไหวของราคา
ประเภทของตัวชี้วัดตามหลัง
มีตัวชี้วัดตามหลังหลากหลายประเภทที่นักเทรดไบนารี่ออปชั่นสามารถใช้ได้ ตัวชี้วัดเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้:
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดตามหลังที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยลดสัญญาณรบกวนในราคาและระบุแนวโน้มที่ชัดเจน มีหลายประเภทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (Simple Moving Average - SMA), เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (Exponential Moving Average - EMA) และ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Moving Average - WMA). การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมกับ กลยุทธ์การตัดเส้น (Crossover Strategy) เป็นที่นิยมอย่างมาก
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น (โดยทั่วไปคือ EMA 12 วันและ EMA 26 วัน) สัญญาณซื้อขายจะถูกสร้างขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณ (signal line) หรือเมื่อเกิดการเบี่ยงเบน (divergence) ระหว่างราคาและ MACD
- RSI (Relative Strength Index): วัดความเร็วและขนาดของการเปลี่ยนแปลงของราคาเพื่อประเมินภาวะซื้อมากเกินไป (overbought) หรือขายมากเกินไป (oversold) RSI มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไปค่าที่สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ภาวะซื้อมากเกินไป และค่าที่ต่ำกว่า 30 จะบ่งชี้ภาวะขายมากเกินไป สามารถใช้ร่วมกับ กลยุทธ์การเทรดตามช่วง (Range Trading) เพื่อหาจุดเข้าซื้อขาย
- Bollinger Bands: ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (โดยทั่วไปคือ SMA 20 วัน) และเส้นแถบสองเส้นที่อยู่เหนือและใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในระยะเบี่ยงเบนมาตรฐานที่กำหนด (โดยทั่วไปคือ 2) แถบ Bollinger จะขยายตัวเมื่อความผันผวนของราคาสูงขึ้น และหดตัวเมื่อความผันผวนลดลง สามารถใช้ร่วมกับ กลยุทธ์การ Breakout
- ADX (Average Directional Index): วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ไม่ได้บ่งบอกทิศทางของแนวโน้ม แต่จะบอกว่าแนวโน้มนั้นแข็งแกร่งหรือไม่ ADX มีค่าระหว่าง 0 ถึง 100 โดยทั่วไปค่าที่สูงกว่า 25 จะบ่งชี้แนวโน้มที่แข็งแกร่ง
ข้อดีของตัวชี้วัดตามหลัง
- ลดสัญญาณรบกวน: ตัวชี้วัดตามหลังช่วยลดสัญญาณรบกวนในราคา ทำให้ง่ายต่อการระบุแนวโน้มที่ชัดเจน
- ยืนยันแนวโน้ม: ช่วยยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้มั่นใจได้มากขึ้นในการตัดสินใจซื้อขาย
- ใช้งานง่าย: ตัวชี้วัดตามหลังส่วนใหญ่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ง่าย
- เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น: เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นในการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ข้อเสียของตัวชี้วัดตามหลัง
- ล่าช้า: เนื่องจากตัวชี้วัดตามหลังอาศัยข้อมูลในอดีต จึงมักจะล่าช้าในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร
- สัญญาณเท็จ: ในบางครั้ง ตัวชี้วัดตามหลังอาจให้สัญญาณเท็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่ผันผวน
- ไม่สามารถคาดการณ์ราคาได้: ไม่สามารถคาดการณ์ราคาในอนาคตได้ จึงไม่เหมาะสำหรับการเทรดที่เน้นการคาดการณ์
วิธีการใช้งานตัวชี้วัดตามหลังในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
- ใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ: เพื่อลดข้อจำกัดของตัวชี้วัดตามหลัง ควรใช้ร่วมกับ ตัวชี้วัดนำหน้า และ ตัวชี้วัดร่วมสมัย
- ยืนยันสัญญาณ: ใช้ตัวชี้วัดตามหลังเพื่อยืนยันสัญญาณที่ได้รับจากตัวชี้วัดอื่นๆ ก่อนตัดสินใจเปิดออปชั่น
- ปรับพารามิเตอร์: ปรับพารามิเตอร์ของตัวชี้วัดตามหลังให้เหมาะสมกับสินทรัพย์อ้างอิงและกรอบเวลาที่ใช้
- ทดสอบกลยุทธ์: ทดสอบกลยุทธ์การเทรดที่ใช้ตัวชี้วัดตามหลังด้วยบัญชีทดลอง (demo account) ก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง
- การบริหารความเสี่ยง: ใช้เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การกำหนดขนาดของการลงทุนต่อออปชั่น และการตั้งค่า Stop Loss
ตัวอย่างการใช้งานตัวชี้วัดตามหลัง
- ตัวอย่างที่ 1: การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)**
สมมติว่าคุณต้องการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 20 วัน เพื่อระบุแนวโน้มในกราฟราคาของคู่เงิน EUR/USD หากราคาปัจจุบันอยู่เหนือ EMA 20 วัน แสดงว่าแนวโน้มเป็นขาขึ้น และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Call หากราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่า EMA 20 วัน แสดงว่าแนวโน้มเป็นขาลง และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Put
- ตัวอย่างที่ 2: การใช้ MACD**
หากเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณจากด้านล่างขึ้นบน แสดงว่าเป็นสัญญาณซื้อ และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Call หากเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณจากด้านบนลงล่าง แสดงว่าเป็นสัญญาณขาย และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Put
- ตัวอย่างที่ 3: การใช้ RSI**
หาก RSI มีค่าสูงกว่า 70 แสดงว่าสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Put หาก RSI มีค่าต่ำกว่า 30 แสดงว่าสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในภาวะขายมากเกินไป และคุณอาจพิจารณาเปิดออปชั่น Call
กลยุทธ์การเทรดที่ใช้ตัวชี้วัดตามหลัง
- Moving Average Crossover
- MACD Divergence Strategy
- Bollinger Bands Squeeze
- RSI Overbought/Oversold Strategy
- ADX Trend Strength Strategy
- Turtle Trading System (ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
- Donchian Channel Breakout (คล้ายกับ Bollinger Bands)
- Ichimoku Cloud Strategy (ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายเส้น)
- Parabolic SAR Strategy (ใช้ในการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้ม)
- Fibonacci Retracement and Moving Average Convergence
- Triple Moving Average Strategy
- Three Color Moving Average Strategy
- EMA Ribbon Strategy
- Heiken Ashi and Moving Average Strategy
- Volume Weighted Moving Average (VWMA) Strategy
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับตัวชี้วัดตามหลัง
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ร่วมกับตัวชี้วัดตามหลังสามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้ หากปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเมื่อแนวโน้มเกิดขึ้น แสดงว่าแนวโน้มนั้นแข็งแกร่ง หากปริมาณการซื้อขายลดลง แสดงว่าแนวโน้มนั้นอ่อนแอลง ตัวอย่างเช่น หากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงทะลุแนวต้านสำคัญพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูง แสดงว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สรุป
ตัวชี้วัดตามหลังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและเข้าใจข้อจำกัดของมัน การใช้ร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ และการทดสอบกลยุทธ์อย่างละเอียดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการลงทุน
| ตัวชี้วัด | คำอธิบาย | ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|---|---|
| เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) | ลดสัญญาณรบกวน, ระบุแนวโน้ม | ล่าช้า, สัญญาณเท็จ | |
| MACD | วัดโมเมนตัม | ล่าช้า, อาจให้สัญญาณเท็จในตลาด Sideways | |
| RSI | วัดภาวะซื้อ/ขายมากเกินไป | ล่าช้า, ไม่แม่นยำในตลาดที่มีความผันผวนสูง | |
| Bollinger Bands | วัดความผันผวน | ล่าช้า, อาจให้สัญญาณเท็จ | |
| ADX | วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม | ไม่บอกทิศทางของแนวโน้ม, อาจให้สัญญาณเท็จ |
การวิเคราะห์ทางเทคนิค || การวิเคราะห์พื้นฐาน || การบริหารความเสี่ยง || กลยุทธ์การเทรด || ไบนารี่ออปชั่นคืออะไร || การอ่านกราฟราคา || การวิเคราะห์แนวโน้ม || การวิเคราะห์รูปแบบราคา || การใช้ Stop Loss || การจัดการเงินทุน || การทำความเข้าใจความเสี่ยง || การเลือกโบรกเกอร์ไบนารี่ออปชั่น || การวิเคราะห์ความผันผวน || การวิเคราะห์ตลาด
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
