การใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolios

1. 1. การใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolios

การสร้าง Portfolio ที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น, Forex, หรือแม้แต่ Binary Options การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ หรือที่เรียกว่า **Correlation** จะช่วยให้คุณสามารถกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะอธิบายถึงหลักการของ Correlation, วิธีการคำนวณ, และการนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้าง Portfolio ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในตลาด Binary Options

1. 1. 1. Correlation คืออะไร?

Correlation หรือ สหสัมพันธ์ คือ สถิติที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์สองชนิด หรือมากกว่านั้น ค่า Correlation จะอยู่ระหว่าง -1 ถึง +1 โดยมีความหมายดังนี้:

• **+1:** สินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันเสมอ เมื่อสินทรัพย์หนึ่งราคาขึ้น อีกสินทรัพย์ก็จะราคาขึ้นด้วย
• **0:** สินทรัพย์ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กัน การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์หนึ่งไม่มีผลต่ออีกสินทรัพย์หนึ่ง
• **-1:** สินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามเสมอ เมื่อสินทรัพย์หนึ่งราคาขึ้น อีกสินทรัพย์ก็จะราคาลง

การทำความเข้าใจค่า Correlation นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงของ Portfolio ได้ โดยการรวมสินทรัพย์ที่มี Correlation ต่ำ หรือเป็นลบเข้าด้วยกัน

1. 1. 1. วิธีการคำนวณ Correlation

ค่า Correlation ที่นิยมใช้กันคือ **Pearson Correlation Coefficient** ซึ่งคำนวณจากสูตรดังนี้:

r = Σ[(xi - x̄)(yi - Ȳ)] / √[Σ(xi - x̄)² Σ(yi - Ȳ)²]

โดยที่:

• r คือ Pearson Correlation Coefficient
• xi คือ ค่าของสินทรัพย์ X ในช่วงเวลา i
• yi คือ ค่าของสินทรัพย์ Y ในช่วงเวลา i
• x̄ คือ ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ X
• Ȳ คือ ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ Y

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องคำนวณด้วยตัวเอง เนื่องจากมีเครื่องมือและโปรแกรมมากมายที่สามารถคำนวณค่า Correlation ให้ได้โดยอัตโนมัติ เช่น Microsoft Excel, Google Sheets, หรือโปรแกรมวิเคราะห์ทางเทคนิคต่างๆ

1. 1. 1. การประยุกต์ใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolio

การใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolio มีหลายวิธี ดังนี้:

1. **การกระจายความเสี่ยง (Diversification):** นี่คือประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolio การรวมสินทรัพย์ที่มี Correlation ต่ำหรือเป็นลบเข้าด้วยกันจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของ Portfolio ได้ เนื่องจากเมื่อสินทรัพย์หนึ่งราคาตก อีกสินทรัพย์หนึ่งอาจจะราคาขึ้นมาชดเชยได้ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในทั้ง หุ้น และ พันธบัตร มักจะมี Correlation เป็นลบ ทำให้ Portfolio มีความเสถียรมากขึ้น

2. **การเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return):** การเลือกสินทรัพย์ที่มี Correlation ต่ำและมีศักยภาพในการเติบโตสูง จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงของ Portfolio ได้

3. **การสร้าง Pair Trading Strategy:** กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการระบุคู่สินทรัพย์ที่มี Correlation สูงในอดีต เมื่อความสัมพันธ์นี้เบี่ยงเบนไปจากปกติ (เช่น สินทรัพย์หนึ่งราคาขึ้นมากเกินไปเมื่อเทียบกับอีกสินทรัพย์หนึ่ง) นักลงทุนจะทำการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่าและขายสินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่า โดยคาดหวังว่าความสัมพันธ์จะกลับสู่ภาวะปกติในที่สุด กลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมในตลาด Forex และ หุ้น

4. **การใช้ Correlation ในตลาด Binary Options:** ในตลาด Binary Options การใช้ Correlation สามารถช่วยในการตัดสินใจเลือกลักษณะของออปชั่น (Call หรือ Put) ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดการณ์ว่าราคาทองคำและราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน คุณอาจเลือกซื้อ Call Option ในทั้งสองสินทรัพย์ หรือหากคุณคาดการณ์ว่าราคาทองคำและดอลลาร์สหรัฐฯ จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม คุณอาจเลือกซื้อ Call Option ในทองคำและ Put Option ในดอลลาร์สหรัฐฯ การใช้ Technical Analysis ร่วมกับการวิเคราะห์ Correlation จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

1. 1. 1. ตัวอย่าง Portfolio ที่ใช้ Correlation

สมมติว่าคุณมีเงินลงทุน 100,000 บาท และต้องการสร้าง Portfolio ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง คุณสามารถพิจารณาการจัดสรรเงินลงทุนดังนี้:

• **หุ้น (50%):** เลือกหุ้นจากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, และสินค้าอุปโภคบริโภค
• **พันธบัตร (30%):** เลือกลงพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง
• **ทองคำ (20%):** ทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) และมี Correlation เป็นลบกับหุ้นในบางสถานการณ์

การจัดสรรเงินลงทุนเช่นนี้ จะช่วยให้ Portfolio ของคุณมีความหลากหลายและลดความเสี่ยงโดยรวมได้

1. 1. 1. ข้อควรระวังในการใช้ Correlation

แม้ว่า Correlation จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่นักลงทุนควรทราบ:

• **Correlation ไม่คงที่:** ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัจจัยต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจ, นโยบายของรัฐบาล, และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน สามารถส่งผลกระทบต่อ Correlation ได้
• **Correlation ไม่ใช่สาเหตุ:** การที่สินทรัพย์สองชนิดมีความสัมพันธ์กัน ไม่ได้หมายความว่าสินทรัพย์หนึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอีกสินทรัพย์หนึ่ง อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองสินทรัพย์
• **การใช้ข้อมูลในอดีต:** การคำนวณ Correlation มักใช้ข้อมูลในอดีต ซึ่งไม่ได้รับประกันว่าความสัมพันธ์ในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

1. 1. 1. เครื่องมือและแหล่งข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ Correlation

• **Bloomberg Terminal:** เครื่องมือวิเคราะห์ทางการเงินระดับมืออาชีพที่มีข้อมูล Correlation ของสินทรัพย์ต่างๆ อย่างละเอียด
• **Reuters Eikon:** คล้ายกับ Bloomberg Terminal แต่มีราคาที่ย่อมเยาลง
• **Google Finance:** แหล่งข้อมูลฟรีที่แสดงข้อมูลราคาและกราฟของสินทรัพย์ต่างๆ
• **Yahoo Finance:** คล้ายกับ Google Finance แต่มีข้อมูลที่ครอบคลุมมากกว่า
• **TradingView:** แพลตฟอร์มการซื้อขายและการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ Correlation

1. 1. 1. กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องและแนวทางการวิเคราะห์

• **Mean Reversion:** กลยุทธ์ที่อาศัยการกลับสู่ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่มี Correlation สูง
• **Statistical Arbitrage:** กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของราคาในตลาดต่างๆ
• **Volatility Trading:** การซื้อขายโดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงของความผันผวนของสินทรัพย์
• **Fibonacci Retracement:** การใช้ระดับ Fibonacci เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคา
• **Moving Averages:** การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อระบุแนวโน้มของราคา
• **Bollinger Bands:** การใช้แถบ Bollinger เพื่อวัดความผันผวนของราคา
• **RSI (Relative Strength Index):** การใช้ดัชนี RSI เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
• **MACD (Moving Average Convergence Divergence):** การใช้ MACD เพื่อระบุสัญญาณซื้อขาย
• **Elliott Wave Theory:** ทฤษฎีที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบของคลื่น
• **Candlestick Patterns:** การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา
• **Volume Spread Analysis (VSA):** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายและความผันผวนของราคา
• **Order Flow Analysis:** การวิเคราะห์การไหลของคำสั่งซื้อขายในตลาด
• **High-Frequency Trading (HFT):** การซื้อขายด้วยความเร็วสูงโดยใช้คอมพิวเตอร์
• **Algorithmic Trading:** การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการซื้อขายตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
• **Sentiment Analysis:** การวิเคราะห์ความรู้สึกของนักลงทุนเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา

1. 1. 1. สรุป

การใช้ Correlation ในการสร้าง Portfolio เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน การทำความเข้าใจหลักการของ Correlation, วิธีการคำนวณ, และการประยุกต์ใช้ในตลาดต่างๆ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะลงทุนในตลาดหุ้น, Forex, หรือ Binary Options การพิจารณา Correlation เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเสมอ

ตัวอย่างค่า Correlation ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ

สินทรัพย์ 1	สินทรัพย์ 2	ค่า Correlation (โดยประมาณ)	หุ้น	พันธบัตร	-0.3 ถึง -0.7	ทองคำ	หุ้น	-0.2 ถึง -0.5	ดอลลาร์สหรัฐฯ	ทองคำ	-0.3 ถึง -0.6	น้ำมันดิบ	หุ้นพลังงาน	0.7 ถึง 0.9	หุ้นเทคโนโลยี	หุ้นการเงิน	0.4 ถึง 0.7

(Category:Investment)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น