การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิในไบนารี่ออปชั่น

การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิในไบนารี่ออปชั่น: คู่มือสำหรับมือใหม่

ความหมายของไบนารี่ออปชั่นและความแตกต่างจากตลาดอื่น อธิบายว่า Binary option เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนคงที่หรือขาดทุนทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่สัญญาหมดอายุหรือไม่ สำหรับมือใหม่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Expiry time (เวลาหมดอายุ) และราคาใช้สิทธิ (Strike Price) เป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดผลลัพธ์ของการเทรด

พื้นฐานสำคัญ: ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

ราคาใช้สิทธิ หรือที่เรียกว่าราคาจุดเข้า คือระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น คู่สกุลเงิน หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์) ที่คุณคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเมื่อสัญญาหมดอายุ

**การกำหนดราคาใช้สิทธิ:** ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น แพลตฟอร์มจะเสนอราคาใช้สิทธิให้คุณเลือก หรือกำหนดให้เป็นราคาตลาดปัจจุบัน ณ เวลาที่คุณทำการซื้อขาย
**ความสัมพันธ์กับ Call และ Put:**

   *   หากคุณซื้อ Call option คุณคาดว่าราคาจะสูงกว่าราคาใช้สิทธิเมื่อหมดอายุ
   *   หากคุณซื้อ Put option คุณคาดว่าราคาจะต่ำกว่าราคาใช้สิทธิเมื่อหมดอายุ

ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของออปชั่น ณ เวลาหมดอายุ

ผลลัพธ์ของการเทรดไบนารี่ออปชั่นขึ้นอยู่กับว่าราคาปิดสุดท้ายเทียบกับราคาใช้สิทธิเป็นอย่างไร

**In-the-money (ITM):** สถานะที่ทำกำไร หมายความว่าการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง

   *   สำหรับ Call option: ราคาปิด > ราคาใช้สิทธิ
   *   สำหรับ Put option: ราคาปิด < ราคาใช้สิทธิ

**Out-of-the-money (OTM):** สถานะที่ขาดทุน หมายความว่าการคาดการณ์ของคุณผิดพลาด

   *   สำหรับ Call option: ราคาปิด < ราคาใช้สิทธิ
   *   สำหรับ Put option: ราคาปิด > ราคาใช้สิทธิ

**At-the-money (ATM):** สถานะที่ราคาเท่ากับราคาใช้สิทธิ ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าขาดทุน (ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของโบรกเกอร์)

สถานะ	Call Option	Put Option
In-the-money (ITM)	ราคาปิดสูงกว่าราคาใช้สิทธิ	ราคาปิดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ
Out-of-the-money (OTM)	ราคาปิดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ	ราคาปิดสูงกว่าราคาใช้สิทธิ

การเลือกเวลาหมดอายุ (Expiry Time)

Expiry time คือระยะเวลาที่สัญญาจะคงอยู่ก่อนที่จะถูกตัดสินว่าชนะหรือแพ้ การเลือกเวลาหมดอายุที่เหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเทรดไบนารี่ออปชั่น เนื่องจากมันเชื่อมโยงโดยตรงกับความผันผวนของตลาดและกรอบเวลาที่คุณใช้ในการวิเคราะห์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือก Expiry Time

**กรอบเวลาการวิเคราะห์:** คุณควรเลือกเวลาหมดอายุที่สอดคล้องกับเครื่องมือวิเคราะห์ที่คุณใช้

   *   หากคุณใช้ Candlestick pattern 5 นาที คุณอาจเลือกเวลาหมดอายุ 5 นาที หรือ 10 นาที
   *   หากคุณวิเคราะห์ Trend ระยะกลางบนกราฟรายชั่วโมง คุณอาจเลือกเวลาหมดอายุที่นานกว่านั้น เช่น 1 ชั่วโมง หรือหลายชั่วโมง

**ความผันผวนของตลาด (Volatility):**

   *   ตลาดที่มีความผันผวนสูง (เช่น ช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ) อาจทำให้การคาดการณ์ระยะสั้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น การเลือกเวลาหมดอายุที่สั้นมากอาจทำให้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยทำให้คุณแพ้ได้
   *   ตลาดที่เคลื่อนไหวช้า (Sideways) อาจเหมาะกับการเทรดระยะสั้นกว่า

**ประเภทของกลยุทธ์:** กลยุทธ์ที่อาศัยการกลับตัวของราคาอย่างรวดเร็ว (Reversal) อาจต้องการเวลาหมดอายุสั้น ในขณะที่กลยุทธ์ตามแนวโน้ม (Trend following) อาจต้องการเวลาหมดอายุที่ยาวกว่า

ความสัมพันธ์ระหว่าง Expiry Time กับการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การใช้ Support and resistance หรือตัวชี้วัดอย่าง RSI ช่วยในการกำหนดจุดเข้า แต่การเลือกเวลาหมดอายุคือการกำหนดว่าการเคลื่อนไหวที่คาดหวังจะเกิดขึ้นภายในกรอบเวลานั้นหรือไม่

**การซื้อขายระยะสั้น (Turbo/Binary Options):** มักมีเวลาหมดอายุตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วและรับความเสี่ยงสูง
**การซื้อขายระยะกลาง:** เวลาหมดอายุ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของข่าวสารหรือการปรับฐานเล็กน้อย
**การซื้อขายระยะยาว:** อาจยาวนานถึงสิ้นวันหรือหลายวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้การวิเคราะห์ Trend ในกรอบเวลาใหญ่

- ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:** การใช้กลยุทธ์ที่วิเคราะห์จากกราฟ 1 ชั่วโมง แต่เลือกเวลาหมดอายุเพียง 1 นาที ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ไม่มีความหมาย

ขั้นตอนการเข้าทำรายการ (Entry) และการออกรายการ (Exit)

การเทรด Binary option มีขั้นตอนที่ตรงไปตรงมา แต่การตัดสินใจเลือกพารามิเตอร์ต้องแม่นยำ

ขั้นตอนที่ 1: การเลือกสินทรัพย์และกรอบเวลา

เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการเทรด (เช่น EUR/USD หรือทองคำ)
ตั้งค่ากราฟราคาตามกรอบเวลาที่คุณจะใช้ในการวิเคราะห์ (เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที)

ขั้นตอนที่ 2: การวิเคราะห์และกำหนดทิศทาง

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (เช่น Candlestick pattern, Support and resistance, หรือ MACD) เพื่อระบุจุดเข้าที่เป็นไปได้
ตัดสินใจว่าคุณจะเปิด Call option (ขึ้น) หรือ Put option (ลง)

ขั้นตอนที่ 3: การกำหนดราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

เมื่อคุณเลือกทิศทางแล้ว ให้ดูว่าแพลตฟอร์มเสนอราคาใช้สิทธิอย่างไร
ในหลายกรณี ราคาใช้สิทธิจะถูกตั้งไว้ที่ราคาตลาดปัจจุบัน (ATM) หรือใกล้เคียง หากคุณมั่นใจว่าราคาจะไปในทิศทางนั้นทันที
*ข้อควรระวัง:* หากคุณเลือกราคาใช้สิทธิที่ห่างจากราคาปัจจุบันมาก (OTM) แม้ว่าคุณจะชนะ แต่ Payout อาจต่ำกว่าปกติ (เพราะความเสี่ยงต่ำ) หรือโบรกเกอร์อาจไม่ให้คุณเลือกราคาที่ห่างเกินไป

ขั้นตอนที่ 4: การกำหนดเวลาหมดอายุ (Expiry Time)

เลือก Expiry time ที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของคุณ (เช่น หากคาดว่าราคาจะกลับตัวภายใน 10 นาที ให้เลือก 10 นาที)
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเวลาหมดอายุที่คุณเลือกนั้น **ยาวนานกว่า** เวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนที่คุณกำลังดูอยู่เสมอ (เว้นแต่คุณกำลังเทรดแบบ Turbo)

ขั้นตอนที่ 5: การกำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing)

กำหนดจำนวนเงินที่จะลงทุนในการเทรดนี้ นี่คือส่วนสำคัญของ Risk management และ Position sizing
*กฎทอง:* ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-3% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว

ขั้นตอนที่ 6: การยืนยันและตรวจสอบ

ตรวจสอบความถูกต้องของ: สินทรัพย์, ทิศทาง (Call/Put), ราคาใช้สิทธิ, เวลาหมดอายุ, และจำนวนเงินลงทุน
กดปุ่มซื้อขาย

การออกรายการ (Exit)

ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น การออกรายการจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อถึง Expiry time

**หากชนะ (ITM):** คุณจะได้รับเงินลงทุนคืน พร้อมกับ Payout ที่กำหนดไว้ (เช่น ได้รับเงินคืน 180% ของเงินลงทุน)
**หากแพ้ (OTM):** คุณจะเสียเงินลงทุนทั้งหมด

การจัดการความเสี่ยงและการตั้งเป้าหมายที่สมจริง

การบริหารความเสี่ยงพื้นฐานสำหรับการเทรดไบนารี่ออปชั่น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณสามารถเสียเงินลงทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว

การจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรด

กำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณจะเสี่ยงต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

*ตัวอย่าง:* หากคุณมีทุน $1,000 คุณอาจกำหนดความเสี่ยงสูงสุดต่อการเทรดไว้ที่ $20 (2%)

การจำกัดความเสี่ยงต่อวัน (Daily Stop Loss)

นี่คือการกำหนดเพดานการขาดทุนรายวันเพื่อป้องกันไม่ให้อารมณ์พาไปสู่การเทรดที่ขาดสติ

*ตัวอย่าง:* หากคุณขาดทุนรวมถึง 10% ของทุน (เช่น $100 จาก $1,000) คุณควรหยุดเทรดทันทีในวันนั้น

ความคาดหวังเรื่องอัตราการชนะ (Win Rate)

มือใหม่มักตั้งเป้าหมายอัตราการชนะที่ 100% ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในการเทรดจริง

ด้วย Payout เฉลี่ย 75% ถึง 90% คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งเพื่อทำกำไร
*ตัวอย่างการคำนวณ:* หากคุณชนะ 60% ของการเทรด โดยมีการจ่ายคืน 80% (กำไร 80% ของเงินที่ลงทุน) คุณยังคงมีโอกาสทำกำไรในระยะยาว

อัตราการชนะ	Payout (กำไร)	ผลลัพธ์สุทธิ (ต่อการเทรด $100)
50%	80%	(5 ชนะ x $80 กำไร) - (5 แพ้ x $100 ขาดทุน) = -$100 (ขาดทุน)
60%	80%	(6 ชนะ x $80 กำไร) - (4 แพ้ x $100 ขาดทุน) = +$80 (กำไร)

การเลือกเวลาหมดอายุและการตั้งราคาใช้สิทธิที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ให้ Win Rate เกิน 50% (เมื่อคำนึงถึง Payout) คือกุญแจสู่ความสำเร็จ

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ร่วมกับการตั้งค่าออปชั่น

การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้เราประเมินว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างไรและนานแค่ไหน

1. การใช้ Support and Resistance (แนวรับแนวต้าน)

แนวรับแนวต้านเปรียบเสมือน "กำแพง" หรือ "พื้น" ในตลาด

**กลยุทธ์:** หากราคากำลังพุ่งชนแนวต้านที่แข็งแกร่ง และคุณคาดว่ามันจะเด้งกลับ (Reversal) คุณอาจเลือกเปิด Put option
**การตั้งค่า:** เนื่องจากเป็นการกลับตัวที่มักเกิดภายในไม่กี่นาทีหลังการชน คุณอาจเลือก Expiry time สั้น (เช่น 5-15 นาที) และใช้ราคาใช้สิทธิที่ใกล้เคียงกับระดับแนวต้านนั้นมากที่สุด

2. การใช้ตัวบ่งชี้โมเมนตัม (Momentum Indicators)

ตัวอย่างเช่น RSI (Relative Strength Index) ช่วยวัดว่าตลาดซื้อขายมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) หรือไม่

**กลยุทธ์:** หาก RSI สูงมาก (เช่น เกิน 70) บ่งชี้ว่าสินทรัพย์อาจถูกซื้อมากเกินไป และมีโอกาสกลับตัวลง คุณจะเปิด Put option
**การตั้งค่า:** การกลับตัวจากภาวะซื้อมากเกินไปอาจใช้เวลาสักพักในการยืนยัน คุณอาจต้องเลือก Expiry time ที่ยาวกว่าการดู Candlestick pattern เพียงอย่างเดียว (เช่น 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง)

3. การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)

การใช้ Elliott wave หรือการดูแนวโน้มหลักบนกราฟใหญ่ (เช่น H4) ช่วยให้คุณไม่เทรดสวนทางกับแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด

**กลยุทธ์:** หากตลาดอยู่ใน Trend ขาขึ้นที่ชัดเจน คุณควรเน้นการเปิด Call option เท่านั้น
**การตั้งค่า:** หากคุณวิเคราะห์จากกราฟ H4 (4 ชั่วโมง) คุณไม่ควรเลือก Expiry time ที่สั้นกว่า 1-2 ชั่วโมง เพราะการเคลื่อนไหวระยะสั้นอาจเป็นเพียงการพักตัว (Pullback) ใน Trend ใหญ่

4. การใช้ Bollinger Bands

Bollinger Bands แสดงถึงความผันผวนของราคา

**กลยุทธ์:** เมื่อราคาแตะขอบบนของแบนด์ (Overbought) และเริ่มหดตัวกลับเข้าหาเส้นกลาง คุณอาจเปิด Put option
**ข้อควรระวัง:** ในช่วงที่แบนด์กว้างมาก (ตลาดผันผวนสูง) การกลับตัวอาจไม่เกิดขึ้นทันที การเลือก Expiry time ที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก การใช้ตัวบ่งชี้อื่นร่วมด้วย เช่น MACD เพื่อยืนยันการอ่อนแรงของโมเมนตัมจะช่วยเพิ่มความแม่นยำ

การจัดการแพลตฟอร์ม: ตัวอย่าง IQ Option และ Pocket Option

แพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่นส่วนใหญ่มีโครงสร้างการตั้งค่าที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งคุณต้องระบุพารามิเตอร์เหล่านี้ก่อนกดซื้อ

การนำทางและการตั้งค่าคำสั่งซื้อ

สำหรับผู้เริ่มต้น การทำความคุ้นเคยกับ ส่วนประกอบสำคัญของแพลตฟอร์มไบนารี่ออปชั่นที่มือใหม่ควรรู้ บนแพลตฟอร์มอย่าง IQ Option หรือ Pocket Option เป็นสิ่งจำเป็น

**เลือกสินทรัพย์:** เลือกคู่เงินหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มี Payout สูงสุดสำหรับช่วงเวลานั้น
**เลือกเวลาหมดอายุ:** แพลตฟอร์มมักจะมีตัวเลือกให้เลือกเป็นนาที หรือมีโหมดพิเศษ (เช่น Turbo/Scalping)
**เลือกราคาใช้สิทธิ (ถ้ามี):** ในโหมดออปชั่นมาตรฐาน บางโบรกเกอร์อนุญาตให้คุณเลือกราคาใช้สิทธิเอง (ซึ่งจะส่งผลต่อ Payout) แต่ในโหมด Quick/Turbo มักจะถูกกำหนดไว้ที่ราคาตลาดปัจจุบัน
**กำหนดจำนวนเงิน:** ป้อนจำนวนเงินลงทุน (เน้นย้ำเรื่อง จิตวิทยาการเทรดเพื่อควบคุมอารมณ์และวินัยในการตัดสินใจ)

ความแตกต่างของแพลตฟอร์ม (โดยสังเขป)

| คุณสมบัติ | IQ Option (ตัวอย่าง) | Pocket Option (ตัวอย่าง) |

ข้อควรระวังเกี่ยวกับโบนัสและโปรโมชั่น

แพลตฟอร์มอาจเสนอโบนัสเงินฝาก อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าโบนัสเหล่านี้มักมาพร้อมกับข้อกำหนดการหมุนเวียน (Turnover requirements) ที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าคุณต้องเทรดด้วยปริมาณที่สูงมากก่อนจึงจะสามารถถอนเงินได้ การเน้นที่การเทรดที่ถูกต้องตามหลักการ Risk management สำคัญกว่าการไล่ตามโบนัส

การบันทึกและทบทวนผลการเทรด

ไม่ว่าคุณจะเลือกเวลาหมดอายุสั้นหรือยาว การเรียนรู้จากอดีตคือสิ่งสำคัญที่สุด การใช้ Trading journal ช่วยให้คุณประเมินว่าการเลือกพารามิเตอร์ของคุณถูกต้องหรือไม่

สิ่งที่ต้องบันทึกเกี่ยวกับการตั้งค่าออปชั่น

สินทรัพย์ที่เทรด
เวลาที่เปิดออปชั่น
Expiry time ที่เลือก
ราคาใช้สิทธิที่ใช้ (หากเลือกได้)
เหตุผลในการเลือก Expiry Time (เช่น "ตามการกลับตัวของ Candlestick pattern 15 นาที")
ผลลัพธ์ (Win/Loss)

การทบทวนบันทึกจะแสดงให้เห็นว่าคุณทำกำไรได้ดีที่สุดเมื่อใช้เวลาหมดอายุ 15 นาที เทียบกับ 60 นาที หรือเมื่อคุณใช้ราคาใช้สิทธิที่ห่างจากราคาตลาดเล็กน้อย (OTM) หรือใกล้เคียง (ITM) ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอย่างต่อเนื่อง

สรุปและมุมมองระยะยาว

การเทรดไบนารี่ออปชั่นคือการเดิมพันว่าราคาจะไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งภายในกรอบเวลาที่กำหนด การเลือก Expiry time ที่เหมาะสมคือการจับคู่ความคาดหวังทางเทคนิคของคุณกับระยะเวลาที่ตลาดมีโอกาสจะตอบสนองต่อสัญญาณนั้น หากคุณวิเคราะห์รูปแบบการกลับตัวที่ใช้เวลา 10 นาที แต่ให้เวลาหมดอายุเพียง 1 นาที คุณอาจแพ้เพราะตลาดต้องการเวลาเพิ่มเติมในการยืนยันการกลับตัวนั้น

การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์และเทคนิคการวิเคราะห์ขั้นสูงสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกพารามิเตอร์เหล่านี้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เช่น การศึกษา การใช้ Fibonacci Retracements ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

ดูเพิ่มเติม (บนไซต์นี้)

บทความแนะนำ

Recommended Binary Options Platforms

Platform	Why beginners choose it	Register / Offer
IQ Option	Simple interface, popular asset list, quick order entry	IQ Option Registration
Pocket Option	Fast execution, tournaments, multiple expiration choices	Pocket Option Registration

Join Our Community

Subscribe to our Telegram channel @copytradingall for analytics, free signals, and much more!

การเลือกเวลาหมดอายุและราคาใช้สิทธิในไบนารี่ออปชั่น

Contents