การเทรดในช่อง
- การ เทรด ใน ช่อง
การเทรดในช่อง (Trading in the Channel) เป็นกลยุทธ์การเทรด ไบนารี่ออปชั่น ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความเข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายตลาดและกรอบเวลา กลยุทธ์นี้อาศัยการระบุช่วงราคาที่ตลาดมีแนวโน้มจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน และทำการซื้อขายโดยคาดการณ์ว่าราคาจะเด้งกลับจากขอบบนหรือขอบล่างของช่องราคานั้น บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดในช่อง ตั้งแต่การระบุช่องราคา การยืนยันสัญญาณ การบริหารความเสี่ยง และข้อควรระวังต่างๆ สำหรับผู้เริ่มต้น
- ความหมายของการเทรดในช่อง
การเทรดในช่อง คือ กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาภายในช่วงที่จำกัดหรือ “ช่อง” (Channel) ช่องราคาเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อตลาดไม่ได้มีแนวโน้มที่ชัดเจนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่เคลื่อนที่ Sideways หรือแกว่งตัวขึ้นลงภายในกรอบที่กำหนด โดยมีแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่ชัดเจน ซึ่งทำหน้าที่เป็นขอบเขตของช่องราคานั้น
แนวรับ คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามา ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดการปรับตัวลง ในขณะที่แนวต้าน คือ ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมา ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะหยุดการปรับตัวขึ้น
เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์การเทรดในช่องจะมองหาโอกาสในการซื้อ (Call Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับขึ้นไปสู่แนวต้าน ในทางกลับกัน เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน นักเทรดจะมองหาโอกาสในการขาย (Put Option) โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับลงมาสู่แนวรับ
- การระบุช่องราคา
การระบุช่องราคาเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการใช้กลยุทธ์นี้ มีหลายวิธีในการระบุช่องราคา แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ:
- **การใช้เส้นแนวโน้ม (Trendlines):** ลากเส้นแนวโน้มเชื่อมต่อจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ที่ต่อเนื่องกัน เส้นแนวโน้มเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นขอบบนและขอบล่างของช่องราคา
- **การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายช่วงเวลา เพื่อหาช่วงราคาที่ตลาดมีแนวโน้มจะเคลื่อนที่อยู่ภายใน เช่น ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน และ 50 วัน เพื่อสร้างช่องราคา
- **การสังเกตแนวรับและแนวต้าน:** ระบุแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนจากกราฟราคา แนวรับและแนวต้านเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นขอบเขตของช่องราคา
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้การระบุช่องราคาแม่นยำยิ่งขึ้น และลดโอกาสในการเกิดสัญญาณหลอก (False Signals) ได้
- สัญญาณการเข้าเทรด
เมื่อระบุช่องราคาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการรอสัญญาณการเข้าเทรดที่น่าเชื่อถือ สัญญาณที่นิยมใช้กันมีดังนี้:
- **การเด้งกลับจากแนวรับ:** เมื่อราคาแตะหรือเข้าใกล้แนวรับ และมีสัญญาณการกลับตัวขึ้น เช่น แท่งเทียนเขียว (Bullish Candlestick) หรือรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการกลับตัวขึ้น (Reversal Patterns) ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Call Option)
- **การเด้งกลับจากแนวต้าน:** เมื่อราคาแตะหรือเข้าใกล้แนวต้าน และมีสัญญาณการกลับตัวลง เช่น แท่งเทียนแดง (Bearish Candlestick) หรือรูปแบบแท่งเทียนที่บ่งบอกถึงการกลับตัวลง (Reversal Patterns) ถือเป็นสัญญาณขาย (Put Option)
- **การใช้ Oscillator:** ใช้ Oscillator เช่น Relative Strength Index (RSI) หรือ Stochastic Oscillator เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว RSI ที่ต่ำกว่า 30 ถือเป็นสัญญาณซื้อ (Oversold) ในขณะที่ RSI ที่สูงกว่า 70 ถือเป็นสัญญาณขาย (Overbought)
- **การใช้ MACD:** ใช้ Moving Average Convergence Divergence (MACD) เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว การเกิด Crossover ของเส้น MACD และ Signal Line สามารถใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขายได้
- การบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรดไบนารี่ออปชั่น ไม่ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ใดก็ตาม สำหรับการเทรดในช่อง ควรคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้:
- **การกำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing):** อย่าลงทุนเกิน 5% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดแต่ละครั้ง
- **การตั้ง Stop Loss:** แม้ว่าการเทรดในช่องจะเน้นการเด้งกลับ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ราคาจะทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ดังนั้น ควรตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาเคลื่อนที่ผิดทาง
- **การเลือก Expiry Time:** เลือก Expiry Time ที่เหมาะสมกับกรอบเวลาของกราฟราคา โดยทั่วไป ควรเลือก Expiry Time ที่สั้นกว่ากรอบเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์
- **การกระจายความเสี่ยง (Diversification):** อย่าเทรดในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดผลกระทบจากการผันผวนของตลาด
- ข้อควรระวัง
แม้ว่าการเทรดในช่องจะเป็นกลยุทธ์ที่ง่าย แต่ก็มีข้อควรระวังที่นักเทรดควรทราบ:
- **การทะลุแนวรับและแนวต้าน (Breakouts):** หากราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านอย่างชัดเจน อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด และกลยุทธ์การเทรดในช่องอาจไม่สามารถใช้ได้ผล
- **ตลาด Sideways ที่ยาวนาน:** หากตลาด Sideways เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกจำนวนมาก และยากต่อการทำกำไร
- **ข่าวและเหตุการณ์สำคัญ:** ข่าวและเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรุนแรง และทำให้กลยุทธ์การเทรดในช่องล้มเหลวได้
- **ความผันผวนของตลาด (Volatility):** ตลาดที่มีความผันผวนสูงอาจทำให้การระบุช่องราคาทำได้ยาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเทรด
- ตัวอย่างการเทรดในช่อง
สมมติว่าคุณสังเกตเห็นว่าราคาของ EUR/USD เคลื่อนที่อยู่ในช่องราคา โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1.0800 และแนวต้านอยู่ที่ 1.0900
1. **ระบุช่องราคา:** แนวรับ 1.0800 และแนวต้าน 1.0900 2. **รอสัญญาณ:** รอให้ราคาเข้าใกล้แนวรับ และเกิดสัญญาณการกลับตัวขึ้น เช่น แท่งเทียนเขียว 3. **เข้าเทรด:** เมื่อได้สัญญาณการกลับตัวขึ้น ให้เปิด Call Option โดยมี Expiry Time 5 นาที 4. **ตั้ง Stop Loss:** ตั้ง Stop Loss ที่ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย เพื่อจำกัดความเสี่ยงหากราคาปรับตัวลง 5. **ทำกำไร:** หากราคาเด้งกลับขึ้นไปสู่แนวต้าน ให้ปิด Order และทำกำไร
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
- **การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following):** Trend Following เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มของตลาด หากตลาดมีแนวโน้มที่ชัดเจน การเทรดตามแนวโน้มอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการเทรดในช่อง
- **การเทรด Breakout:** Breakout Trading เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากการทะลุแนวรับหรือแนวต้าน หากราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านอย่างชัดเจน การเทรด Breakout อาจเป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไร
- **การเทรด Range Bound:** Range Trading คล้ายกับการเทรดในช่อง แต่เน้นการซื้อขายภายในช่วงราคาที่กว้างกว่า
- **การเทรด Scalping:** Scalping เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น การเทรด Scalping อาจใช้ร่วมกับการเทรดในช่องได้
- **การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):** การใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Fibonacci Retracements และ Elliott Wave Theory สามารถช่วยในการระบุช่องราคาและสัญญาณการเข้าเทรดได้
- **การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis):** การใช้ข้อมูลทางสถิติและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ตลาดสามารถช่วยในการประเมินความน่าจะเป็นของความสำเร็จของกลยุทธ์การเทรดในช่องได้
- **Bollinger Bands:** การใช้ Bollinger Bands ช่วยในการระบุช่วงราคาที่ผันผวน และสามารถใช้ร่วมกับกลยุทธ์การเทรดในช่องได้
- **Ichimoku Cloud:** Ichimoku Cloud เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถใช้ในการระบุแนวรับ แนวต้าน และสัญญาณการกลับตัวของราคา
- **Pivot Points:** Pivot Points เป็นระดับราคาที่สำคัญ ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวรับ แนวต้าน และสัญญาณการเข้าเทรด
- **Donchian Channels:** Donchian Channels เป็นเครื่องมือที่แสดงช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถใช้ในการระบุช่องราคา
- **Keltner Channels:** Keltner Channels เป็นเครื่องมือที่คล้ายกับ Bollinger Bands แต่ใช้ Average True Range (ATR) ในการคำนวณความกว้างของช่อง
- **Parabolic SAR:** Parabolic SAR เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบุจุดกลับตัวของราคา ซึ่งสามารถใช้เป็นสัญญาณการเข้าเทรดในการเทรดในช่อง
- **Williams %R:** Williams %R เป็น Oscillator ที่ใช้ในการวัดแรงซื้อและแรงขาย ซึ่งสามารถใช้ในการยืนยันสัญญาณการกลับตัวของราคา
- **Average Directional Index (ADX):** ADX เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ซึ่งสามารถช่วยในการตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์การเทรดในช่องหรือไม่
- สรุป
การเทรดในช่องเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในการเทรดไบนารี่ออปชั่น การระบุช่องราคา การยืนยันสัญญาณ และการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้กลยุทธ์นี้ให้ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรตระหนักถึงข้อควรระวังต่างๆ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดในปัจจุบัน
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
