การเทรดโดยใช้ Elliott Wave Theory

การเทรดโดยใช้ Elliott Wave Theory

Elliott Wave Theory หรือทฤษฎีคลื่นเอลเลียตต์ เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พัฒนาโดย Ralph Nelson Elliott ในทศวรรษ 1930 ทฤษฎีนี้อ้างว่าราคาในตลาดการเงินเคลื่อนไหวในรูปแบบของคลื่นที่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิทยาของนักลงทุน (mass psychology) ทฤษฎีนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการเทรด ไบนารี่ออปชั่น ได้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถช่วยระบุโอกาสในการเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง

หลักการพื้นฐานของ Elliott Wave Theory

ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตต์ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าตลาดเคลื่อนไหวเป็นวงจร ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือ

Impulse Waves (คลื่นกระตุ้น) คลื่นเหล่านี้เคลื่อนไหวไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก (trend) ประกอบด้วย 5 คลื่นย่อยที่ถูกระบุด้วยตัวเลข 1, 2, 3, 4, และ 5
Corrective Waves (คลื่นแก้ไข) คลื่นเหล่านี้เคลื่อนไหวสวนทางกับแนวโน้มหลัก ทำหน้าที่แก้ไขการเคลื่อนไหวของคลื่นกระตุ้น ประกอบด้วย 3 คลื่นย่อยที่ถูกระบุด้วยตัวอักษร A, B, และ C

รูปแบบคลื่นที่สมบูรณ์นี้ (5 คลื่นกระตุ้น + 3 คลื่นแก้ไข) เรียกว่า cycle หรือ complete cycle และจะวนซ้ำไปเรื่อยๆ ในระดับเวลาที่แตกต่างกัน (timeframes)

รูปแบบคลื่นเอลเลียตต์
คลื่น	ลักษณะ	ทิศทาง
1	คลื่นเริ่มต้นของแนวโน้ม	ไปตามแนวโน้ม
2	คลื่นแก้ไขของคลื่น 1	สวนทางแนวโน้ม (แต่โดยทั่วไปไม่เกิน 61.8% ของคลื่น 1)
3	คลื่นที่ยาวและแรงที่สุด	ไปตามแนวโน้ม
4	คลื่นแก้ไขของคลื่น 3	สวนทางแนวโน้ม (โดยทั่วไปไม่เกิน 38.2% ของคลื่น 3)
5	คลื่นสุดท้ายของแนวโน้ม	ไปตามแนวโน้ม
A	คลื่นแก้ไขเริ่มต้น	สวนทางแนวโน้ม
B	คลื่นแก้ไขของคลื่น A	ไปตามแนวโน้ม (แต่โดยทั่วไปไม่เกิน 100% ของคลื่น A)
C	คลื่นแก้ไขสุดท้าย	สวนทางแนวโน้ม

ระดับของคลื่น (Wave Degrees)

ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตต์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คลื่นที่เห็นได้ชัดเจนบนกราฟราคา แต่คลื่นเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับใหญ่ (Grand Supercycle) ไปจนถึงระดับเล็ก (Subminuette) ซึ่งแต่ละระดับจะซ้อนกันอยู่ภายในอีกระดับหนึ่ง ดังนี้:

Grand Supercycle
Supercycle
Cycle
Primary
Intermediate
Minor
Minute
Minuette
Subminuette

การทำความเข้าใจระดับของคลื่นเป็นสิ่งสำคัญในการระบุแนวโน้มหลักและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต

กฎและแนวทางของ Elliott Wave Theory

เพื่อให้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจกฎและแนวทางพื้นฐานที่ Elliott ได้กำหนดไว้:

กฎที่ 1: คลื่น 2 ไม่สามารถย้อนกลับเกิน 100% ของคลื่น 1 หากคลื่น 2 ย้อนกลับเกิน 100% ของคลื่น 1 แสดงว่าการนับคลื่นผิดพลาด
กฎที่ 2: คลื่น 3 ไม่สามารถเป็นคลื่นที่สั้นที่สุดในบรรดาคลื่นกระตุ้น คลื่น 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวและแรงที่สุด
กฎที่ 3: คลื่น 4 ไม่สามารถทับซ้อนกับพื้นที่ราคาของคลื่น 1 คลื่น 4 มักจะมีการปรับฐานที่ซับซ้อน แต่จะไม่ทับซ้อนกับพื้นที่ราคาของคลื่น 1
แนวทาง (Guideline): คลื่น 3 มักจะยาวกว่าคลื่น 1 และคลื่น 5 มักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่น 1
แนวทาง (Guideline): การแก้ไข (corrective waves) มักจะกินเวลามากกว่าคลื่นกระตุ้น

การประยุกต์ใช้ Elliott Wave Theory ในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

การเทรด ไบนารี่ออปชั่น โดยใช้ Elliott Wave Theory สามารถทำได้หลายวิธี:

ระบุแนวโน้มหลัก (Identifying the Main Trend): การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์สามารถช่วยระบุแนวโน้มหลักของตลาดได้ หากเราสามารถระบุคลื่นกระตุ้นที่สมบูรณ์ได้ แสดงว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และเราสามารถมองหาโอกาสในการซื้อ (call option)
คาดการณ์จุดกลับตัว (Predicting Reversal Points): เมื่อคลื่นแก้ไขสิ้นสุดลง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม ซึ่งเป็นโอกาสในการเปิดสถานะเทรดที่เหมาะสม
กำหนดเป้าหมายกำไร (Setting Profit Targets): การใช้ Fibonacci Extensions ร่วมกับ Elliott Wave Theory สามารถช่วยกำหนดเป้าหมายกำไรที่เหมาะสมได้ โดยการวัดความยาวของคลื่นก่อนหน้าและคาดการณ์ความยาวของคลื่นถัดไป
บริหารความเสี่ยง (Risk Management): การใช้ Stop-Loss Order และ Take-Profit Order เป็นสิ่งสำคัญในการบริหารความเสี่ยงในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

กลยุทธ์การเทรดไบนารี่ออปชั่นด้วย Elliott Wave Theory

นี่คือตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดไบนารี่ออปชั่นโดยใช้ Elliott Wave Theory:

กลยุทธ์คลื่น 3 (Wave 3 Strategy): รอให้คลื่น 3 เริ่มต้นขึ้น (ซึ่งมักเป็นคลื่นที่ยาวและแรงที่สุด) และเปิดสถานะซื้อ (call option) โดยตั้งเป้าหมายกำไรตาม Fibonacci Extension และใช้ Stop-Loss Order เพื่อจำกัดความเสี่ยง
กลยุทธ์คลื่น A (Wave A Strategy): เมื่อคลื่นแก้ไขเริ่มต้นขึ้น (คลื่น A) ให้เปิดสถานะขาย (put option) โดยตั้งเป้าหมายกำไรตาม Fibonacci Extension และใช้ Stop-Loss Order
กลยุทธ์การ Breakout (Breakout Strategy): รอให้คลื่น 5 ทะลุแนวต้านที่สำคัญ (resistance level) และเปิดสถานะซื้อ (call option) โดยคาดหวังว่าตลาดจะยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางของแนวโน้ม
กลยุทธ์ Divergence (Divergence Strategy): ใช้ร่วมกับ RSI หรือ MACD หากเกิด Divergence ระหว่างราคาและ Indicators อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของคลื่น

เครื่องมือเสริมในการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์

เพื่อให้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์มีความแม่นยำยิ่งขึ้น สามารถใช้เครื่องมือเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย:

Fibonacci Retracements & Extensions: ใช้ในการระบุระดับแนวรับแนวต้านและคาดการณ์เป้าหมายกำไร
Trendlines: ใช้ในการยืนยันแนวโน้มและระบุจุดกลับตัว
Support and Resistance Levels: ใช้ในการระบุพื้นที่ราคาที่สำคัญ
Volume Analysis: การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มและระบุสัญญาณการกลับตัว
Indicators เช่น RSI, MACD, Stochastic Oscillator: ใช้ในการยืนยันสัญญาณและกรองสัญญาณหลอกๆ

ข้อจำกัดของ Elliott Wave Theory

แม้ว่า Elliott Wave Theory จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรทราบ:

Subjectivity: การนับคลื่นอาจเป็นเรื่องอัตวิสัย (subjective) และนักวิเคราะห์แต่ละคนอาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน
Complexity: ทฤษฎีนี้มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจ
False Signals: บางครั้งอาจเกิดสัญญาณหลอกๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่ผิดพลาด
Market Noise: ความผันผวนของตลาด (market noise) อาจทำให้การระบุคลื่นเป็นเรื่องยาก

การพัฒนาทักษะการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์

การพัฒนาทักษะการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์ต้องอาศัยการฝึกฝนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง:

ศึกษาทฤษฎีอย่างละเอียด: ทำความเข้าใจหลักการ กฎ และแนวทางของ Elliott Wave Theory
ฝึกฝนการนับคลื่นบนกราฟราคาจริง: เริ่มต้นด้วยกราฟราคาในอดีต (historical data) และค่อยๆ ฝึกฝนบนกราฟราคาปัจจุบัน
ใช้เครื่องมือเสริม: เรียนรู้วิธีการใช้ Fibonacci Retracements, Trendlines, และ Indicators ร่วมกับการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์
ติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจ: ข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจอาจมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาและอาจทำให้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตต์ผิดพลาดได้
เรียนรู้จากประสบการณ์: วิเคราะห์ผลการเทรดที่ผ่านมาและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด

สรุป

Elliott Wave Theory เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเทรด ไบนารี่ออปชั่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจหลักการ กฎ และแนวทางของทฤษฎีนี้เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการฝึกฝนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การใช้เครื่องมือเสริมและการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรด

การวิเคราะห์ทางเทคนิค รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) แนวโน้ม (Trends) การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) Fibonacci Retracements Fibonacci Extensions RSI (Relative Strength Index) MACD (Moving Average Convergence Divergence) Stochastic Oscillator Support and Resistance Trendlines กลยุทธ์การเทรดไบนารี่ออปชั่น การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis) จิตวิทยาการเทรด (Trading Psychology) Binary Options Trading กลยุทธ์ Scalping กลยุทธ์ Day Trading กลยุทธ์ Swing Trading การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) การสร้างแผนการเทรด (Trading Plan)

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น