การศึกษาเกี่ยวกับ Pair Trading
- การศึกษาเกี่ยวกับ Pair Trading
Pair Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่มุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไรจากความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสินทรัพย์สองรายการที่มีความสัมพันธ์กัน แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ทิศทางของตลาดโดยรวม กลยุทธ์นี้อาศัยหลักการที่ว่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกันมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางครั้งอาจเกิดความแตกต่างชั่วคราว ซึ่งเป็นโอกาสในการทำกำไร กลยุทธ์นี้ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนเชิงปริมาณ (Quantitative Investors) และเทรดเดอร์ที่ต้องการลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน
- หลักการพื้นฐานของ Pair Trading
แนวคิดหลักของ Pair Trading คือการระบุคู่สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด (Correlated Assets) จากนั้นติดตามความแตกต่างของราคา (Price Spread) ระหว่างสินทรัพย์ทั้งสอง หากราคา Spread ขยายกว้างเกินค่าเฉลี่ยทางสถิติ (Statistical Mean) จะถือว่าเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่าและขายสินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่า โดยคาดหวังว่าราคา Spread จะกลับสู่ค่าเฉลี่ยในที่สุด
- องค์ประกอบสำคัญ:**
- **การเลือกคู่สินทรัพย์:** การเลือกคู่สินทรัพย์ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ สินทรัพย์ที่เลือกควรมีความสัมพันธ์กันในเชิงพื้นฐาน (Fundamental Relationship) หรือเชิงเทคนิค (Technical Relationship) เช่น หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือหุ้นที่มีความสัมพันธ์กันในห่วงโซ่อุปทาน
- **การคำนวณ Price Spread:** Price Spread คือความแตกต่างระหว่างราคาของสินทรัพย์ทั้งสอง สามารถคำนวณได้โดยการลบราคาของสินทรัพย์หนึ่งออกจากอีกสินทรัพย์หนึ่ง หรือใช้สูตรทางสถิติที่ซับซ้อนกว่า เช่น Z-score
- **การกำหนดค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน:** การคำนวณค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของ Price Spread ช่วยในการกำหนดระดับที่ถือว่า Spread กว้างเกินไป หรือแคบเกินไป
- **การเข้าและออกจากตลาด:** เมื่อ Spread ขยายกว้างเกินค่าเฉลี่ย จะเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า (Long Position) และขายสินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่า (Short Position) เมื่อ Spread กลับสู่ค่าเฉลี่ย จะปิด Position ทั้งหมดเพื่อทำกำไร
- การเลือกคู่สินทรัพย์
การเลือกคู่สินทรัพย์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งในการทำ Pair Trading มีหลายวิธีในการระบุคู่สินทรัพย์ที่อาจมีความสัมพันธ์กัน:
- **ความสัมพันธ์เชิงอุตสาหกรรม:** เลือกหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น หุ้นของสายการบิน (เช่น Thai Airways และ Bangkok Airways) หรือหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี (เช่น Advanced Info Service และ Total Access Communication)
- **ความสัมพันธ์เชิงห่วงโซ่อุปทาน:** เลือกหุ้นของบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และผู้ผลิตรถยนต์
- **การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Correlation Analysis):** ใช้ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อคำนวณสหสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ สินทรัพย์ที่มีสหสัมพันธ์สูง (ใกล้ +1 หรือ -1) มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์กัน
- **การวิเคราะห์ Cointegration:** เทคนิคทางสถิติที่ซับซ้อนกว่าการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ Cointegration ตรวจสอบว่ามีรูปแบบความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสินทรัพย์สองรายการหรือไม่ แม้ว่าราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
- การคำนวณ Price Spread และ Z-score
- Price Spread:**
Price Spread สามารถคำนวณได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น:
- **Simple Spread:** Price Spread = ราคาของสินทรัพย์ A - ราคาของสินทรัพย์ B
- **Normalized Spread:** Price Spread = (ราคาของสินทรัพย์ A - ราคาของสินทรัพย์ B) / ราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ทั้งสอง
- Z-score:**
Z-score ช่วยในการวัดว่า Price Spread ปัจจุบันสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากน้อยเพียงใด สูตรในการคำนวณ Z-score คือ:
Z-score = (Price Spread ปัจจุบัน - ค่าเฉลี่ยของ Price Spread) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ Price Spread
โดยทั่วไป หาก Z-score สูงกว่าค่าที่กำหนด (เช่น +2 หรือ +3) จะถือว่า Spread กว้างเกินไป และเป็นโอกาสในการขายสินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่า หาก Z-score ต่ำกว่าค่าที่กำหนด (เช่น -2 หรือ -3) จะถือว่า Spread แคบเกินไป และเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า
- การจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
Pair Trading ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะมุ่งเน้นการลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจัดการ:
- **ความเสี่ยงจากการที่ Spread ไม่กลับสู่ค่าเฉลี่ย:** บางครั้ง Spread อาจไม่กลับสู่ค่าเฉลี่ยตามที่คาดหวัง ทำให้เกิดการขาดทุน
- **ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน:** เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น ข่าวร้ายเกี่ยวกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อาจทำให้ Spread ขยายกว้างขึ้นอย่างมาก
- **ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง:** หากสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ อาจทำให้การเข้าหรือออกจากตลาดเป็นไปได้ยาก
- เทคนิคการจัดการความเสี่ยง:**
- **Stop-Loss Orders:** ตั้ง Stop-Loss Orders เพื่อจำกัดการขาดทุน หาก Spread ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- **Position Sizing:** กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้การขาดทุนครั้งเดียวส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนมากเกินไป
- **Diversification:** กระจายความเสี่ยงโดยการซื้อขายหลายคู่สินทรัพย์
- **Monitoring:** ติดตาม Price Spread และ Z-score อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างทันท่วงที
- Pair Trading กับไบนารี่ออปชั่น (Binary Options)
แม้ว่า Pair Trading จะเป็นการซื้อขายแบบดั้งเดิม แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ ไบนารี่ออปชั่น ได้ โดยการคาดการณ์ว่า Price Spread จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น หาก Z-score ของ Price Spread อยู่ที่ +2 คุณอาจซื้อ Put Option บนสินทรัพย์ที่ราคาสูงกว่า และซื้อ Call Option บนสินทรัพย์ที่ราคาต่ำกว่า โดยคาดหวังว่า Spread จะแคบลงภายในระยะเวลาของ Option
อย่างไรก็ตาม การใช้ Pair Trading กับไบนารี่ออปชั่นมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไบนารี่ออปชั่นมีลักษณะเป็น All-or-Nothing ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนเต็มจำนวนก็ต่อเมื่อคาดการณ์ถูกต้อง หรือจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดหากคาดการณ์ผิดพลาด
- กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องและการวิเคราะห์เพิ่มเติม
- **Mean Reversion:** Mean Reversion เป็นหลักการพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลัง Pair Trading โดยเชื่อว่าราคาจะกลับสู่ค่าเฉลี่ยในที่สุด
- **Statistical Arbitrage:** Statistical Arbitrage เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนกว่า Pair Trading โดยใช้แบบจำลองทางสถิติเพื่อระบุโอกาสในการทำกำไร
- **Bollinger Bands:** Bollinger Bands สามารถใช้เพื่อระบุช่วงราคาที่ Spread มักจะเคลื่อนไหวอยู่
- **Moving Averages:** Moving Averages สามารถใช้เพื่อระบุแนวโน้มของ Price Spread
- **Relative Strength Index (RSI):** Relative Strength Index (RSI) สามารถใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มของ Price Spread
- **Fibonacci Retracements:** Fibonacci Retracements สามารถใช้เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านของ Price Spread
- **Elliott Wave Theory:** Elliott Wave Theory สามารถใช้เพื่อวิเคราะห์รูปแบบของ Price Spread
- **Time Series Analysis:** Time Series Analysis ช่วยในการทำนาย Price Spread ในอนาคต
- **Monte Carlo Simulation:** Monte Carlo Simulation สามารถใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของกลยุทธ์ Pair Trading
- **Value Investing:** Value Investing สามารถใช้เพื่อระบุคู่สินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
- **Growth Investing:** Growth Investing สามารถใช้เพื่อระบุคู่สินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
- **Trend Following:** Trend Following สามารถใช้เพื่อระบุคู่สินทรัพย์ที่กำลังอยู่ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
- **Momentum Trading:** Momentum Trading สามารถใช้เพื่อระบุคู่สินทรัพย์ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว
- **Breakout Trading:** Breakout Trading สามารถใช้เพื่อระบุคู่สินทรัพย์ที่กำลังทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
- **Scalping:** Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นที่มุ่งเน้นการทำกำไรเล็กน้อยจากความผันผวนของราคา
- สรุป
Pair Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่ซับซ้อนแต่มีศักยภาพในการทำกำไร โดยอาศัยหลักการที่ว่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกันมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน การเลือกคู่สินทรัพย์ที่เหมาะสม การคำนวณ Price Spread และ Z-score การจัดการความเสี่ยง และการประยุกต์ใช้กับไบนารี่ออปชั่นอย่างระมัดระวัง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทำ Pair Trading
| สินทรัพย์ A | สินทรัพย์ B | เหตุผลในการเลือกคู่ | กลยุทธ์ | |
|---|---|---|---|---|
| Thai Airways | Bangkok Airways | หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน | ซื้อ Thai Airways, ขาย Bangkok Airways เมื่อ Z-score > +2 | |
| Advanced Info Service | Total Access Communication | หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน | ซื้อ AIS, ขาย DTAC เมื่อ Z-score < -2 | |
| PTT | IRPC | ความสัมพันธ์เชิงห่วงโซ่อุปทาน | ซื้อ PTT, ขาย IRPC เมื่อ Z-score > +3 | |
| SCB | KBANK | หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ | ขาย SCB, ซื้อ KBANK เมื่อ Z-score < -3 |
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
