การลดความเสี่ยงด้วย Options

1. 1. การ ลด ความ เสี่ยง ด้วย Options

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการลดความเสี่ยงในการลงทุนโดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า Options สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำความเข้าใจในตลาดการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจใน ไบนารี่ออปชั่น ซึ่งมีความเสี่ยงสูง การทำความเข้าใจ Options จะช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้

1. 1. 1. Options คืออะไร?

Options เป็นสัญญาที่ให้สิทธิ (แต่ไม่บังคับ) แก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนีหุ้น, หรือสกุลเงิน) ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (เรียกว่า Expiration Date) มี Options สองประเภทหลัก:

• **Call Option:** ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการ *ซื้อ* สินทรัพย์อ้างอิง
• **Put Option:** ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการ *ขาย* สินทรัพย์อ้างอิง

1. 1. 1. ทำไมต้องใช้ Options ในการลดความเสี่ยง?

การลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงมีความเสี่ยงเสมอ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนและส่งผลให้เกิดการขาดทุนได้ Options สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยงได้หลายวิธี:

• **Hedging (การป้องกันความเสี่ยง):** การใช้ Options เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่
• **Portfolio Insurance (ประกันความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน):** การใช้ Options เพื่อป้องกันการขาดทุนในพอร์ตการลงทุนโดยรวม
• **Income Generation (การสร้างรายได้):** การขาย Options เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากสินทรัพย์ที่คุณมีอยู่

1. 1. 1. กลยุทธ์การลดความเสี่ยงด้วย Options สำหรับผู้เริ่มต้น

มีกลยุทธ์มากมายในการใช้ Options เพื่อลดความเสี่ยง ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์พื้นฐานบางส่วนที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น:

1. **Protective Put:** กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อ Put Option สำหรับสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ หากราคาของสินทรัพย์ลดลง Put Option จะช่วยชดเชยการขาดทุนของคุณ กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงขาลง (downside risk) แต่ยังคงต้องการมีส่วนร่วมในการเพิ่มขึ้นของราคา (upside potential)

   *   **ตัวอย่าง:** คุณถือหุ้น ABC อยู่ 100 หุ้น ที่ราคา 50 บาทต่อหุ้น คุณซื้อ Put Option ที่ Strike Price 48 บาท และ Expiration Date อีก 3 เดือน หากราคาหุ้น ABC ลดลงต่ำกว่า 48 บาท คุณสามารถใช้สิทธิใน Put Option เพื่อขายหุ้นในราคา 48 บาท ซึ่งจะช่วยจำกัดการขาดทุนของคุณ

2. **Covered Call:** กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการขาย Call Option สำหรับสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่ หากราคาของสินทรัพย์ไม่สูงกว่า Strike Price คุณจะได้รับค่าพรีเมียมจากการขาย Call Option เป็นรายได้ กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะคงที่หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และต้องการสร้างรายได้เพิ่มเติม

   *   **ตัวอย่าง:** คุณถือหุ้น XYZ อยู่ 100 หุ้น ที่ราคา 80 บาทต่อหุ้น คุณขาย Call Option ที่ Strike Price 85 บาท และ Expiration Date อีก 1 เดือน หากราคาหุ้น XYZ ไม่สูงกว่า 85 บาท คุณจะได้รับค่าพรีเมียมจากการขาย Call Option

3. **Collar:** กลยุทธ์นี้รวมเอาทั้ง Protective Put และ Covered Call เข้าด้วยกัน โดยคุณจะซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลง และขาย Call Option เพื่อสร้างรายได้ กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจำกัดทั้งความเสี่ยงขาลงและความผันผวนของผลตอบแทน

   *   **ตัวอย่าง:** คุณถือหุ้น DEF อยู่ 100 หุ้น ที่ราคา 60 บาทต่อหุ้น คุณซื้อ Put Option ที่ Strike Price 58 บาท และขาย Call Option ที่ Strike Price 65 บาท ทั้งสอง Options มี Expiration Date เดียวกัน

4. **Straddle:** กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อทั้ง Call Option และ Put Option ที่มี Strike Price และ Expiration Date เดียวกัน กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดว่าราคาของสินทรัพย์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นหรือลง

   *   **ตัวอย่าง:** คุณคาดว่ามีข่าวสำคัญเกี่ยวกับบริษัท GHI ที่จะส่งผลให้ราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก คุณซื้อ Call Option และ Put Option ที่ Strike Price 100 บาท และ Expiration Date อีก 2 สัปดาห์

5. **Strangle:** คล้ายกับ Straddle แต่ใช้ Strike Price ที่แตกต่างกัน โดย Put Option จะมี Strike Price ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน และ Call Option จะมี Strike Price สูงกว่าราคาปัจจุบัน กลยุทธ์นี้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า Straddle แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงของราคาที่มากกว่าเพื่อให้ได้กำไร

1. 1. 1. การวิเคราะห์ Options และปัจจัยที่มีผลต่อราคา

ราคาของ Options ไม่ได้คงที่ แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยหลายประการ:

• **ราคาของสินทรัพย์อ้างอิง:** เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อราคาของ Options
• **Strike Price:** ราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา Option
• **Time to Expiration:** ระยะเวลาที่เหลือจนถึงวันหมดอายุของสัญญา Option
• **Volatility (ความผันผวน):** ความผันผวนของราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ยิ่งความผันผวนสูง ราคาของ Options ก็จะสูงขึ้น
• **Interest Rates (อัตราดอกเบี้ย):** อัตราดอกเบี้ยมีผลต่อต้นทุนในการถือครองสินทรัพย์อ้างอิง
• **Dividends (เงินปันผล):** เงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นมีผลต่อราคาของ Call Option

1. 1. 1. การใช้ Indicators และการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การใช้ Indicators ทางเทคนิค เช่น Moving Averages (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่), Bollinger Bands (แบนด์บอลิงเจอร์), และ Relative Strength Index (RSI) (ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์) สามารถช่วยในการคาดการณ์ทิศทางของราคาและเลือกกลยุทธ์ Options ที่เหมาะสมได้ การวิเคราะห์ แนวโน้ม (Trends) และรูปแบบราคา (Price Patterns) ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

1. 1. 1. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)

การวิเคราะห์ ปริมาณการซื้อขาย สามารถช่วยในการยืนยันแนวโน้มและระบุระดับราคาที่สำคัญ การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปกับแนวโน้มขาขึ้นอาจบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ในขณะที่การลดลงของปริมาณการซื้อขายอาจบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของแนวโน้ม

1. 1. 1. ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Options

แม้ว่า Options จะสามารถใช้ในการลดความเสี่ยงได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเช่นกัน:

• **Time Decay (การลดลงของมูลค่าตามเวลา):** ราคาของ Options จะลดลงเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ
• **Volatility Risk (ความเสี่ยงจากความผันผวน):** การเปลี่ยนแปลงของความผันผวนอาจส่งผลต่อราคาของ Options
• **Liquidity Risk (ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง):** บาง Options อาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ยากต่อการซื้อหรือขาย
• **Complexity (ความซับซ้อน):** Options เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจกลไกการทำงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญ

1. 1. 1. การนำไปประยุกต์ใช้กับไบนารี่ออปชั่น

แม้ว่าบทความนี้เน้นที่ Options ทั่วไป แต่แนวคิดการลดความเสี่ยงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ ไบนารี่ออปชั่น ได้เช่นกัน โดยการใช้ขนาดการลงทุนที่เหมาะสม (Position Sizing) การกระจายความเสี่ยง (Diversification) และการเลือกสินทรัพย์อ้างอิงอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ การใช้ กลยุทธ์การบริหารเงินทุน (Money Management Strategies) ก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเทรดไบนารี่ออปชั่น

1. 1. 1. สรุป

การใช้ Options เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจกลไกการทำงาน ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และกลยุทธ์ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะเริ่มลงทุน การฝึกฝนและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจะช่วยให้คุณสามารถใช้ Options ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ

1. 1. 1. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

• Chicago Board Options Exchange (CBOE): [1](https://www.cboe.com/)
• [[Investopedia Options]:](https://www.investopedia.com/options)
• [[Options Industry Council]:](https://optionsindustrycouncil.com/)

ตัวอย่างกลยุทธ์ Options และระดับความเสี่ยง

กลยุทธ์	ระดับความเสี่ยง	คำอธิบาย
Protective Put	ต่ำ-ปานกลาง	ป้องกันความเสี่ยงขาลง
Covered Call	ต่ำ-ปานกลาง	สร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่ถืออยู่
Collar	ปานกลาง	จำกัดทั้งความเสี่ยงขาลงและความผันผวน
Straddle	ปานกลาง-สูง	คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคารายใหญ่
Strangle	ปานกลาง-สูง	คล้าย Straddle แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงของราคาที่มากกว่า

การบริหารความเสี่ยง || การลงทุน || การเงิน || ตลาดทุน || เครื่องมือทางการเงิน || การวิเคราะห์ทางเทคนิค || การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน || การบริหารเงินทุน || กลยุทธ์การเทรด || การกระจายความเสี่ยง || Position Sizing || Volatility || Strike Price || Expiration Date || Call Option || Put Option

เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้

ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)

เข้าร่วมชุมชนของเรา

สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น