การซื้อขายตามแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) ในไบนารี่ออปชั่น
การซื้อขายตามแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance) ในไบนารี่ออปชั่น
การซื้อขาย ไบนารี่ออปชั่น เป็นการคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด หากคุณคาดการณ์ถูกต้อง คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า แต่หากคาดการณ์ผิด คุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด การทำความเข้าใจเครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร หนึ่งในเทคนิคที่สำคัญและเป็นพื้นฐานที่สุดคือการซื้อขายตามแนวรับแนวต้าน (Support and Resistance)
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายตามแนวรับแนวต้านในไบนารี่ออปชั่น โดยจะครอบคลุมตั้งแต่ความหมายของแนวรับแนวต้าน วิธีการระบุแนวรับแนวต้าน กลยุทธ์การซื้อขายที่ใช้ และข้อควรระวังในการใช้งานเทคนิคนี้
แนวรับและแนวต้านคืออะไร?
แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่น่าจะลดลงต่ำกว่าระดับนั้นได้ แนวรับเปรียบเสมือนพื้นราคาที่คอยพยุงราคาไว้ ในขณะที่แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมาจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่น่าจะสูงขึ้นเกินระดับนั้นได้ แนวต้านเปรียบเสมือนเพดานราคาที่คอยจำกัดการขึ้นของราคา
แนวรับและแนวต้านเกิดขึ้นจากการที่ผู้ซื้อและผู้ขายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อระดับราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ ผู้ซื้อจะมองว่าราคาถูกและเริ่มเข้าซื้อ ในขณะที่เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน ผู้ขายจะมองว่าราคาสูงและเริ่มขายออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันที่ระดับราคานั้นๆ
วิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน
มีหลายวิธีในการระบุแนวรับและแนวต้าน ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีที่นิยมใช้กันได้แก่:
- **การสังเกตจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต (Swing Highs and Swing Lows):** มองหาจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ที่ชัดเจนในกราฟราคา จุดสูงสุดที่ผ่านมาจะกลายเป็นแนวต้าน ส่วนจุดต่ำสุดที่ผ่านมาจะกลายเป็นแนวรับ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นพื้นฐานที่สุด
- **เส้นแนวโน้ม (Trend Lines):** ลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดที่ต่อเนื่องกัน (สำหรับแนวรับ) หรือจุดสูงสุดที่ต่อเนื่องกัน (สำหรับแนวต้าน) เส้นแนวโน้มที่แข็งแกร่งจะทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
- **ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages):** ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถใช้เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน
- **ระดับ Fibonacci Retracement:** ใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงจากสัดส่วน Fibonacci ที่สำคัญ เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8%
- **Pivot Points:** คำนวณจากราคา High, Low, และ Close ของวันก่อนหน้า เพื่อหาแนวรับและแนวต้านที่สำคัญสำหรับวันปัจจุบัน Pivot Points
การระบุแนวรับและแนวต้านที่แม่นยำต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน ควรใช้หลายวิธีประกอบกันเพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับและแนวต้าน
กลยุทธ์การซื้อขายตามแนวรับแนวต้านในไบนารี่ออปชั่น
เมื่อระบุแนวรับและแนวต้านได้แล้ว เราสามารถนำมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายได้หลายรูปแบบ ดังนี้:
- **การซื้อเมื่อราคาแตะแนวรับ (Buy the Dip):** เมื่อราคาลดลงมาแตะแนวรับที่แข็งแกร่ง คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง จึงเปิดออปชั่น Call (ขึ้น)
- **การขายเมื่อราคาทะลุแนวต้าน (Breakout Trade):** เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปได้ คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ราคาสามารถปรับตัวขึ้นไปได้อีก จึงเปิดออปชั่น Call (ขึ้น)
- **การขายเมื่อราคาแตะแนวต้าน (Sell the Rally):** เมื่อราคาสูงขึ้นมาแตะแนวต้านที่แข็งแกร่ง คาดว่าจะมีแรงขายออกมาดันราคาลงมาอีกครั้ง จึงเปิดออปชั่น Put (ลง)
- **การซื้อเมื่อราคาทะลุแนวรับ (Breakdown Trade):** เมื่อราคาทะลุแนวรับลงมาได้ คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ราคาสามารถปรับตัวลงไปได้อีก จึงเปิดออปชั่น Put (ลง)
- **การเล่น Breakout แบบ False (Fakeout):** ในบางครั้ง ราคาอาจจะทะลุแนวรับหรือแนวต้านไปเล็กน้อยแล้วกลับตัวทันที (False Breakout) ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้ โดยการเปิดออปชั่นในทิศทางตรงกันข้ามกับการทะลุ
การยืนยันสัญญาณด้วยตัวชี้วัดอื่นๆ
การซื้อขายตามแนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ควรใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ เช่น:
- **Relative Strength Index (RSI):** ใช้เพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และบ่งบอกภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) RSI
- **Moving Average Convergence Divergence (MACD):** ใช้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม และสัญญาณการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น MACD
- **Bollinger Bands:** ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคา และระบุระดับราคาที่อาจเกิดการกลับตัว Bollinger Bands
- **Volume:** การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับและแนวต้านได้ หากมีการซื้อขายปริมาณมากที่แนวรับหรือแนวต้าน แสดงว่าแนวรับหรือแนวต้านนั้นมีความสำคัญ
การรวมแนวรับแนวต้านเข้ากับตัวชี้วัดอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงในการซื้อขาย
ข้อควรระวังในการซื้อขายตามแนวรับแนวต้าน
- **แนวรับและแนวต้านไม่ใช่เส้นแบ่งที่ชัดเจน:** ราคาอาจจะทะลุแนวรับหรือแนวต้านไปได้เล็กน้อยก่อนที่จะกลับตัว
- **แนวรับและแนวต้านอาจมีการสลับบทบาท:** แนวรับที่เคยแข็งแกร่งอาจกลายเป็นแนวต้าน และในทางกลับกัน
- **ข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ:** ข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญสามารถส่งผลกระทบต่อราคาอย่างรวดเร็ว และทำให้แนวรับและแนวต้านไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดหวัง
- **การจัดการความเสี่ยง (Risk Management):** ควรกำหนดขนาดการลงทุนที่เหมาะสม และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยง
ตัวอย่างการซื้อขายตามแนวรับแนวต้านในไบนารี่ออปชั่น
สมมติว่าคุณกำลังสังเกต กราฟราคา ของคู่เงิน EUR/USD และพบว่ามีแนวรับที่ระดับ 1.1000 และแนวต้านที่ระดับ 1.1100
- **สถานการณ์ที่ 1:** หากราคาลดลงมาแตะแนวรับ 1.1000 และ RSI บ่งบอกว่าอยู่ในภาวะขายมากเกินไป คุณอาจเปิดออปชั่น Call (ขึ้น) โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 1.1100 และระยะเวลา 5 นาที
- **สถานการณ์ที่ 2:** หากราคาขึ้นมาแตะแนวต้าน 1.1100 และ MACD บ่งบอกว่าอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป คุณอาจเปิดออปชั่น Put (ลง) โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 1.1000 และระยะเวลา 5 นาที
- **สถานการณ์ที่ 3:** หากราคาทะลุแนวต้าน 1.1100 ขึ้นไปได้ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น คุณอาจเปิดออปชั่น Call (ขึ้น) โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 1.1200 และระยะเวลา 15 นาที
กลยุทธ์เพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง
- Double Top/Bottom
- Head and Shoulders
- Triple Top/Bottom
- Flag Patterns
- Pennant Patterns
- Wedge Patterns
- Gap Trading
- Candlestick Patterns
- Ichimoku Cloud
- Elliott Wave Theory
- Parabolic SAR
- Stochastic Oscillator
- Average True Range (ATR)
- Volume Weighted Average Price (VWAP)
- Price Action Trading
สรุป
การซื้อขายตามแนวรับแนวต้านเป็นเทคนิคที่สำคัญและเป็นพื้นฐานในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น การทำความเข้าใจแนวคิด วิธีการระบุแนวรับแนวต้าน กลยุทธ์การซื้อขาย และข้อควรระวัง จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการซื้อขายได้ อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น
| ระดับราคา | ประเภท | คำอธิบาย | |
|---|---|---|---|
| 1.1000 | แนวรับ | ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามามาก | |
| 1.1100 | แนวต้าน | ระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมามาก | |
| 1.1200 | แนวต้านถัดไป | ระดับราคาที่อาจเป็นเป้าหมายหากทะลุแนวต้านเดิม |
การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการซื้อขายไบนารี่ออปชั่น และการเข้าใจแนวรับแนวต้านเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ
การจัดการเงินทุน ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณรับได้
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ก็เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายเช่นกัน
Psychological Trading การควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญในการซื้อขาย
Binary Option Brokers การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ
Risk Disclosure ทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนการลงทุน
Trading Plan การมีแผนการซื้อขายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีวินัยในการซื้อขาย
Market Sentiment การเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาดจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น
News Trading การซื้อขายตามข่าวสารสำคัญ
Trading Psychology จิตวิทยาการซื้อขาย
Time Management การบริหารเวลาในการซื้อขาย
Trading Journal การจดบันทึกการซื้อขายเพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
Backtesting การทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลัง
Demo Account การฝึกฝนด้วยบัญชีทดลองก่อนลงทุนจริง
Education การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับไบนารี่ออปชั่น
Forex Trading การเทรดฟอเร็กซ์
Commodity Trading การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์
Index Trading การเทรดดัชนี
Cryptocurrency Trading การเทรดคริปโตเคอร์เรนซี Candlestick Chart
เริ่มต้นการซื้อขายตอนนี้
ลงทะเบียนกับ IQ Option (เงินฝากขั้นต่ำ $10) เปิดบัญชีกับ Pocket Option (เงินฝากขั้นต่ำ $5)
เข้าร่วมชุมชนของเรา
สมัครสมาชิกช่อง Telegram ของเรา @strategybin เพื่อรับ: ✓ สัญญาณการซื้อขายรายวัน ✓ การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์แบบพิเศษ ✓ การแจ้งเตือนแนวโน้มตลาด ✓ วัสดุการศึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
